“ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?” เป็นคำถามง่ายๆ สั้นๆ คำตอบหาไม่ยาก แต่ว่าต้องใช้ทั้งเวลาและพื้นที่ในการอธิบาย ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมอง บทบาท และส่วนได้ส่วนเสียของแต่ละคน ในแต่ละเรื่อง ทุกคนมีผลประโยชน์ มากหรือน้อยก็สุดแล้วแต่
เรามาถึงจุดนี้ ซึ่งมีวิกฤตรุนแรง เป็นผลของความเสื่อมโทรม เสื่อมทราม และเสื่อมทรุด ทั้งด้านสภาวะการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และอื่นๆ อีกมาก แต่ละอย่างส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกัน ไม่มีการแก้ไข
ปัญหาทั้งหมดเกิดจากคนที่อยู่ในระบบของการกุมอำนาจการเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งมีการเกี่ยวโยงอย่างมาก ด้านการเมืองมีปัญหาเรื่องคุณภาพของคนตั้งแต่ระดับผู้นำ ทั้งมาจากการรัฐประหาร การเลือกตั้ง สลับกันแบ่งปันผลประโยชน์
ประชาชนรับผลพวงของความชั่วร้ายจากการ “รัฐประหารแล้วรวย” “เลือกตั้ง ตั้งรัฐบาลแล้วรวย” เป็นเพราะคนระดับเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายทุกหน่วยงาน แต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ติดอยู่ในวงจรของอำนาจที่ขับเคลื่อนด้วยพลังการทุจริต คอร์รัปชัน
สภาพการเมือง และเศรษฐกิจมีการควบคุมโดยกลุ่มผลประโยชน์ที่ทำตัวเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” และ “รัฐซ่อนลึก” กำกับกลไกของบ้านเมือง ทำให้กระบวนการยุติธรรมไร้ความหมาย ในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และในปลายน้ำในบางองค์กร บางกรณี
กรณี “บอส” ชนคนตายแล้วหนี อัยการสั่งไม่ฟ้อง เป็นตัวอย่างของความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรม ด้วยอำนาจของ Deep State ที่กุมอำนาจเหนือรัฐ และอำนาจที่ว่านี้ก็ผสานกับคนกุมอำนาจในรัฐบาล และสำแดงพลัง 2 ระบบ
การทุจริต คอร์รัปชัน กระจายไปทั่วทุกหน่วย และระดับของโครงสร้างการบริหารภาครัฐ ตั้งแต่สูงสุดจนถึงปลายสุดในเครือข่ายปกครองส่วนท้องถิ่น หยั่งรากลงลึก ถ้าเปรียบเป็นมะเร็งก็กินร่างกายจนถึงต่อมน้ำเหลือง ไขกระดูก เว้นแต่เส้นผม
ผู้กุมอำนาจรัฐทุกยุค ประกาศจะปราบปรามการทุจริตอย่างเต็มที่ มีองค์กรสารพัดทั้ง ป.ป.ช. ป.ป.ป. ปปง. สตง. ผู้ตรวจการ และองค์กรอื่นๆ อีกสารพัดในตำรวจ กระทรวงต่างๆ ผลที่ตามมาคือ “ลูบหน้าก็ปะจมูก” เจอเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งนั้น
มีตั้งทีมสอบสวนเอิกเกริก สร้างภาพใหญ่โต สุดท้าย ไม้ไผ่กลายเป็นบ้องกัญชา แสดงความหน้าด้านปกปิด กลบเกลื่อนความไม่ถูกต้อง อ้อมๆ แอ้มๆ กันไป เพราะหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ สาวไปถึงใครก็เป็นพวกมีเส้นสาย เครือข่ายเดียวกัน
กรณี “บอส” ชนคนตายแล้วหนี มีตำรวจตั้งตำรวจสอบตำรวจ ตั้งอัยการสอบอัยการ ซ้ำซ้อน ซ้ำซาก ปรากฏว่ามีระบบฟอกตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำกันอย่างไม่อายฟ้าดิน สอบชุดไหน ก็ไปไม่ถึงไหน ก็มีระบบตัดตอนช่วยเหลือกัน
ตั้งคณะกรรมการสอบรองอัยการสูงสุดคนที่สั่งไม่ฟ้อง เจอคำสั่งจำกัดการสอบ ทำเอาประธานโบกมือลา ไม่อยากเป็นเครื่องมือฟอกตัวซ้ำ สะท้อนให้เห็นความอัปยศในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทิ้งความน่าเชื่อถือเพื่อช่วยคนหนีคดีแค่รายเดียว
ระบบกระบวนการยุติธรรมในต้นน้ำ กลางน้ำ และคณะกรรมาธิการยุค คสช. ใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อให้คนเดียวรอดคดีอาญา ผู้มีตำแหน่งและอำนาจในองค์กรตำรวจและอัยการ ไม่พยายามเอาตัวคนผิดให้รับโทษ แต่มุ่งหาช่องทางให้พ้นโทษ
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เมื่อคนหนีคดีเป็นลูกอภิมหาเศรษฐีหลายแสนล้านบาท แล้วมีคนช่วยเหลือแทบทุกระดับจนถึงคนกุมอำนาจรัฐ คงไม่เป็นอื่นไปได้นอกจากอิทธิพลและอำนาจของ “เงิน” และต้องมหาศาลด้วย
เป็น “รัฐล้มเหลว” หรือ Failed State แล้ว แม้จะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม! โอกาสที่จะฟื้นความน่าเชื่อถือ ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และกระบวนการยังไม่มีวี่แวว
คดี “บอส” ทำให้ความเป็น “รัฐล้มเหลว” กระจ่างชัด เพราะเห็นเป็นวงกว้าง!
และยังไม่จบ ผู้นำสูงสุด “ลุงตู่” ได้ประกาศว่าที่ผ่านมา “ผมไม่โอเค” เมื่อเห็นสภาพอย่างนี้ และแนวโน้มว่าจะมีเพียงแพะตัวน้อยรอรับบาป จะยัง “โอเค” หรือไม่
ด้านเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ หนี้ครัวเรือน หนี้ภาครัฐ คนว่างงาน คนถือบัตรคนจน ทำมาหากินลำบาก ไม่มีรายได้จากความซบเซาถดถอย ซึ่งมีข้ออ้างว่าเป็นเหมือนกันทั้งโลก โดยความจริง สภาพเศรษฐกิจตายซากเป็นก่อนมีโควิด-19
นอกจากไร้มือเศรษฐกิจแท้จริง คนที่เอาเข้ามายังถูกมองว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มทุน โดยเฉพาะทุนธุรกิจพลังงาน มีอิทธิพลเครือข่ายกว้างขวางด้วยอำนาจเงินจากความมั่งคั่งรวดเร็วจากสัมปทานผลิตไฟฟ้าได้มาอย่างพิสดาร ขายให้รัฐจนรวย
เมื่อผู้นำรัฐบาลและระบบการเมืองไม่น่าเชื่อถือ ย่อมเกิดวิกฤตศรัทธา ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น นี่เป็นสภาวะปกติ ที่ผ่านมา ประชาชนเดินขบวน ชุมนุมเรียกร้อง ขับไล่ จนมีการรัฐประหารปี 2557 จากนั้นมีกฎหมายควบคุมการชุมนุมเข้ม
แต่ความทุกข์ยากลำบากทำให้คนต้องฝืนกฎ ทำเท่าที่จะทำได้ แม้จะต้องเสี่ยงกับการมีคดีอาญา ผู้กุมอำนาจรัฐก็ยิ่งผยอง ยโสโอหังเห็นประชาชนเป็นทาสในเรือนเบี้ย เป็นผู้อาศัยแผ่นดินอยู่ คนกุมอำนาจรัฐบาลทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของประเทศ
มาถึงจุดนี้ ประชาชนต้องยอมทน ไม่มีทางเลือก มีแต่ทางตัน ทั้ง ส.ส., ส.ว. อยู่ดีมีสุขกับผลประโยชน์จากเงินภาษีของประชาชน แต่เกมเริ่มไม่สนุกเมื่อเยาวชนส่วนหนึ่งไม่ทนกับการที่จะมีอนาคตที่มืดมน จึงออกมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิขอมีส่วนร่วม
ผู้กุมอำนาจรัฐตาเหลือก ตกใจเพราะพลังเยาวชนเรียกร้อง 3 ประเด็น เห็นเค้าลางของจุดจบไม่สวย จึงมีขบวนการกล่าวหาว่า “ชังชาติ” หาทางสกัดการรุกของเด็ก
ถ้าชาวบ้านจมในกองทุกข์ร่วมขับไล่กลุ่มผลประโยชน์ชั่วร้าย เกมเปลี่ยนแน่!