xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันออกกลางใกล้ถึงจุด “ฝีแตก”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


เจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซาเยด อัล-นาห์ยัน มกุฎราชกุมารของอาบูดาบี
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองแวะไปแถวๆ ตะวันออกกลางอีกรอบ น่าจะเหมาะกว่า เพราะสำหรับ “แนวรบ” ด้านนี้ เมื่อเทียบกับ “แนวรบด้านยุโรปตะวันออก” หรือ “แนวรบในทะเลจีนใต้” ที่ถือเป็นแนวรบซึ่งสามารถ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาได้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ตะวันออกกลางนั้น...ออกจะเป็น “หัวฝี” ที่ผ่านการบ่มแล้ว บ่มอีก ทั้งสุก ทั้งงอม ระดับพร้อมที่จะแตกระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

และผู้ที่พยายามเข้าไป “สะกิดหัวฝี” อีกครั้ง อีกครา เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คงหนีไม่พ้นไปจากประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ของเราผู้นี้นี่เอง!!! จะด้วยความพยายามตีตื้นคะแนนนิยม ที่ยังถูกคู่แข่งอย่าง “โจวิตถาร” หรือ “โจซึมเซา” ทิ้งห่างอยู่ประมาณ 4 จุด 5 จุด โดยเฉพาะคะแนนนิยมของบรรดา “ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว” หรือบรรดากลุ่มนายทุน “วอลล์สตรีท” ทั้งหลาย หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ จึงได้ออกมาเปิดเผยถึงมิชชั่นระดับประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ...การสามารถจูงมือผู้นำชาติอาหรับ อย่าง “สหพันธรัฐอาหรับ เอมิเรสต์” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “ยูเออี” ให้มาฟื้นฟู “สัมพันธภาพตามปกติ” กับประเทศอิสราเอล หลังจากที่ต้องตัดขาด ตัดรอนกันมาเกือบครึ่งศตวรรษ...

คืออันที่จริงสัมพันธภาพระหว่าง “ยูเออี” กับ “อิสราเอล” นั้น...แม้ว่าจะมีการตัดขาด ตัดรอน อย่างเป็นทางการมาเกือบ 50 ปี แต่หลังๆ มานี้ เจ้าชาย “MbZ” (Mohammed bin Zayed Al Nahyan) มกุฎราชกุมารผู้ทรงอำนาจอิทธิพลของ “ยูเออี” ก็ออกจะมีพฤติกรรมและทัศนคติ ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “คู่ซี้” อย่างเจ้าชาย “MbS” (Mohammed bin Salman) มกุฎราชกุมารผู้ทรงอำนาจอิทธิพลในราชอาณาจักร “ซาอุดีอาระเบีย” ในแทบจะทุกเรื่อง ทุกกรณี เว้นแต่อาจไม่ถึงกับ “ทรงพระโหด” มากมายสักเท่าไหร่นัก การแอบติดต่อสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างอิสราเอลกับซาอุฯ และยูเออี จึงเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ในหมู่ชาติอาหรับมาโดยตลอด ถึงขั้นล่าสุด...กองทัพอิสราเอลและยูเออี ต่างพร้อมใจเข้าไปหนุนกบฏแยกดินแดนภาคใต้ของเยเมน เพื่อใช้เป็นพื้นที่อิทธิพลในการควบคุมเส้นทาง “ทะเลแดง” ก็ถูกนำมาพูดจา ว่ากล่าว ชนิดรู้กันไประดับ 3 บ้าน 8 บ้านมานานแล้ว...

ดังนั้น...การที่ “ยูเออี” จะเปิด “สัมพันธภาพโดยปกติ” และ “อย่างเป็นทางการ” กับอิสราเอล จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลก เรื่องใหม่ แต่อย่างใด แต่เหตุที่มันอาจถูกทำให้กลายเป็น “เรื่องใหญ่” หรือเรื่องของการ “ทรยศ” “หักหลัง” “แทงข้างหลัง” ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรประมาณนั้น ก็เนื่องมาจากดันมีเรื่อง “ปัญหาปาเลสไตน์” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย อันเป็นปัญหาที่บรรดา “ชาติอาหรับทั้งมวล” เคยแสดงออกถึง “จุดยืน” ไปในแนวเดียวกัน คือมุ่งที่จะให้เกิดการรับรอง “รัฐปาเลสไตน์” ให้ยืนยง คงคู่ไปกับ “รัฐอิสราเอล”แบบไม่มีใครต้องตกไปเป็นส่วนหนึ่งของใคร ไม่ได้เป็นแค่ “รัฐในอารักขา” ที่ถูกควบคุมแทบทุกสิ่งทุกอย่าง จนหาทางออก ทางไป ไม่เจอ อันเนื่องมาจาก “แผนการผนวกดินแดนเวสต์ แบงก์” หรือที่อิสราเอลเขาเรียกว่า “ยูเดียและสะมาเรีย” มาตั้งแต่พระเยซูคริสต์ยังไม่เกิด ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล โดยมีรัฐบาลอเมริกันของ “ทรัมป์บ้า” และลูกเขยชาวยิวอย่าง “นายจาเร็ด คุชเนอร์” เตรียมให้การรับรอง แม้ต้องฝืนต่อมติสหประชาชาติ หรือกฎหมายระหว่างประเทศเพียงใดก็ตาม...

ด้วยเหตุนี้...การที่หนึ่งในชาติอาหรับ อย่าง “ยูเออี” ตัดสินใจ “ดังแล้วแยกวง” หรือตัดสินใจแหกกรอบ แหกมติ ที่เคยเป็นจุดยืนร่วมกันของบรรดาชาติอาหรับทั้งหลาย ออกไป “จูบปาก” แบบชนิดลิ้นพันกันไปพันกันมากับอิสราเอลเอาดื้อๆ จึงหนีไม่พ้นต้องถูกบรรดาชาติอาหรับที่ไม่ค่อยชอบใจต่อคุณพ่ออเมริกาและอิสราเอลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าอิหร่าน ตุรกี ปาเลสไตน์ รวมถึงขบวนการเฮซบอลเลาะห์ ขบวนการฮามาส ในเลบานอน ปาเลสไตน์ ฯลฯ ออกมารุมด่า รุมสับพอๆ กับ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ของบ้านเรา ต้องเจอกับ “ทัวร์ลง” อะไรประมาณนั้น ถือเป็นการหักหลัง ทรยศ แทงข้างหลัง อย่างน่าเกลียด น่าชังเอามากๆ หรือถ้าว่ากันตามสำนวนขององค์กรอิสลามอย่าง “สหภาพนักวิชาการมุสลิมนานาชาติ” (International Union for Muslim Scholars-IUMS) ก็ต้องสรุปว่า “คือการทรยศอย่างรุนแรง” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่อิสลาม หรือมุสลิมอย่าง “ยูเออี” ก็พยายามอ้างว่า...การหันไปจูบปากกับอิสราเอลคราวนี้ ก็เพื่อช่วยปกป้องบรรดาชาวปาเลสไตน์ผู้เป็นพี่น้องมุสลิมด้วยกันทั้งหลาย อันเนื่องมาจากการฟื้นฟูสัมพันธภาพโดยปกติกับอิสราเอลคราวนี้ มี “เงื่อนไข”ให้ประเทศอิสราเอลต้อง “แขวน” แผนการผนวกดินแดนปาเลสไตน์เอาไว้ก่อน โดยเป็นเงื่อนไขที่ผู้สนับสนุนแผนการผนวกดินแดนของอิสราเอล อย่างคุณพ่ออเมริกายืนยันว่าต้องเป็นไปตามนั้น และด้วยการอ้างเหตุ อ้างผล ในลักษณะที่ว่า...เลยทำให้บรรดาชาติอาหรับจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ถึงกับเกลียด โกรธ หรืออาจต้องพึ่งพาคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ไม่ว่าอียิปต์ โอมาน บาห์เรน ฯลฯ หรือแม้แต่จอร์แดน ที่เคยออกมาปรามๆ ว่าแผนผนวกดินแดนของอิสราเอล อาจทำให้จอร์แดนต้องหันไป “เฉ่งปี๋” กับอิสราเอลอีกครั้งเอาเลยก็ไม่แน่ เลยต้อง “ไหลไปตามน้ำ” หรือไม่อาจแสดงท่าที่คัดค้าน ต่อต้าน ได้อย่างออกหน้า ออกตา หรือต้องหันมาแสดงความยินดี ต่อการฟื้นสัมพันธภาพระหว่าง 2 ประเทศขึ้นมาใหม่...

พูดง่ายๆ ว่า...สิ่งที่เคยเป็น “จุดยืน” แบบค่อนข้างเป็นเอกภาพของบรรดาชาติอาหรับในกรณีปาเลสไตน์ มาถึง ณ ขณะนี้ ก็ชักเริ่มระส่ำระสาย ชักออกไปแนว “ทางใครก็ทางมัน” ยิ่งเข้าไปทุกที อีกทั้งขณะที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกมายืนยัน นั่งยันว่าได้ “แขวน” แผนผนวกดินแดนอิสราเอล ที่ตัวเองให้การสนับสนุนมาแต่แรก ระดับ “ไม่ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะ” (off the table) ของรัฐบาลอิสราเอลอีกต่อไปแล้ว หรือผู้นำอิสราเอลยืนยันจะไม่ดำเนินการต่อไป แต่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเนทันยาฮู” กลับออกมาประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าการ “แขวน” ที่ว่า ไม่ได้หมายถึงการล้มเลิกความคิดและการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด แถมทูตอเมริกันประจำอิสราเอล อย่าง “นายDavid Friedman” ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ออกเรี่ยว ออกแรง สนับสนุนอิสราเอลในเรื่องนี้อย่างเอาจริง-เอาจัง มาโดยตลอด ได้ออกมา “แปลความ” หรือ “ตีความ” คำพูดประธานาธิบดีตัวเองเอาไว้ประมาณว่า การ “แขวน” ก็คือ “การระงับเอาไว้ชั่วคราว” ไม่ได้หมายถึง “ไม่คิดจะทำต่อไป” และคำว่า “ไม่ได้ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ” อีกต่อไปแล้ว ก็น่าจะหมายความว่าจะกลับเอามาวางไว้ใหม่ เมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้อุณหภูมิความร้อน อันเนื่องมาจากความเจ็บช้ำ น้ำใจ ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ฯลฯ จึงเริ่มหวนคืนกลับมาสู่แนวรบด้านนี้อีกครั้ง ไม่ว่าในหมู่ชาวปาเลสไตน์ที่เกิดความรู้สึกว่าถูก “หักหลัง” ถูกชาวมุสลิมด้วยกันเอง “ทรยศ” แบบซึ่งๆ หน้า นอกจากประกาศถอนทูตออกจากประเทศ “ยูเออี” แบบไม่คิดจะเหลือเยื่อใยใดๆ อีกต่อไป โอกาสที่กลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ อย่าง “ขบวนการฮามาส” จะน็อตหลุด น็อตหลวม เปิดฉากแลกจรวด บ้องข้ามหลามยักษ์ กับอิสราเอลครั้งใหม่ เพื่อยืนยันถึงความชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์ ไปจนถึงการผสมโรงของ “ขบวนการเฮซบอลเลาะห์” ในเลบานอน ที่เพิ่งถูกระเบิดฉิบหายวายวอดแทบทั้งบ้าน ทั้งเมือง และต้องหาใครมารองมือ รองตีน เป็นการด่วน ก่อนที่การประท้วงภายในประเทศจะลุกลามจนอาจพังกันไปทั้งประเทศ และที่หนักกว่านั้นก็คือ...คุณปู่อิหร่าน ที่อยู่ๆ ก็มีข่าวล่า-มาเรือ ยืนยันโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ว่าได้ “ยึดเรือขนน้ำมัน” 4 ลำของอิหร่าน และน้ำมันปริมาณ 1.116 ล้านบาร์เรล ที่กำลังขนไปส่งให้กับประเทศเวเนซุเอลาเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าทูตอิหร่านประจำเวเนซุเอลา จะออกมาสรุปว่าเป็น “ข่าวปล่อย” หรือ “Fake News” ประมาณนั้นแต่ถ้าหากมันดันเป็นเรื่องจริง เรื่องจัง ขึ้นมาเมื่อไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็น่าจะร้อนกับร้อน ระดับใกล้ๆ “ฝีแตก” ยิ่งเข้าไปทุกที...




กำลังโหลดความคิดเห็น