ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงได้เห็นภาพอันสุดแสนชื่นมื่นของ “คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่” หรือ “ครม.ตู่ 2” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่พร้อมใจกันมาบันทึกภาพประวัติศาสตร์ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 กันแล้ว
ที่ใช้คำว่า “ชื่นมื่น” ก็เพราะบรรยากาศในการบันทึกภาพเป็นไปด้วยความชื่นมื่นจริงๆ ด้วยรัฐมนตรีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทั้งสิ้น
แต่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษเห็นจะเป็น “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี “พี่ใหญ่ของ 3 ป.” ที่ได้กลายเป็น “ดาวเด่น” ของงานนี้ เพราะมีแต่คนมาเอาอกเอาใจ ช่วยเหลือและนอบน้อม บรรดารัฐมนตรีพากันมารุมล้อมพูดคุยกับลุงป้อม ซึ่งก็คงเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น รวมถึงสถานะความเป็น “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ที่ทำให้ “ลุงป้อม” กลายเป็น “ศูนย์กลาง” ของงานโดยปริยาย ยกตัวอย่างเช่น “เสี่ยแฮงค์-อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่จาก “กลุ่มสองมิตร” ลุกจากเก้าอี้และตรงปรี่เข้าไป “ก้มกราบงามๆ “ตรงตัก” อย่างนอบน้อมทันทีที่ “หัวหน้าป้อม” เดินทางมาถึง
ประมาณว่า ใครๆ ก็รัก เลยทำให้ “ลุงป้อม” ยิ้มแย้มแจ่มใสและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม เอาเข้าจริงต้องบอกว่า “ครม.ตู่ 2” นั้น มีความแตกต่างและโดดเด่นจาก “ครม.ตู่ 1” อยู่พอสมควร เพราะสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในการจัดเก้าอี้คณะรัฐมนตรีว่า ผู้มีบทบาทสำคัญและมีพลังที่สุดก็คือ “ลุงป้อมและลุงตู่”
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
กล่าวสำหรับ “ลุงป้อม” นั้น “เด็กในคาถา” ที่ออกแรงผลักดันล้วนแล้วแต่ได้ดิบได้ดีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “มาดามบิ๊กอาย-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ที่ขยับจากโฆษกรัฐบาลไปเป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน” หลังจากโผจาก “สารพัดอ้อมอก” ก่อนหน้านี้ ทั้งอ้อมอก “เฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อ้อมอก “ผู้กอง-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ก่อนที่จะจบลงที่ อ้อมอก “ลุงป้อม” โดยมี “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” สายตรงลุงป้อมอีกคนหนึ่งนั่งเป็น “จับกัง1” สมความมุ่งมาดปรารถนา ขณะที่ “น้องรัก” อย่าง “อนุชา นาคาศัย” ก็ได้ดิบได้ดีที่เก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น “ทีมลุงป้อม” ที่ชัดเจน ต่างจาก “ครม.ตู่ 1” ที่แม้จะเสมือนมี “อดีต 2 แกนนำ กปปส.” อย่าง “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ “เสี่ยบี-พุทธิพงษ์ ปูณณกันต์” รัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อยู่ในสังกัด แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนว่า เป็น “เด็กในบ้าน” และไม่ถือว่าเป็นมือไม้เมื่อเทียบกับ “มาดามแหม่ม เสี่ยเฮ้ง เสี่ยแฮงค์” ที่ชัดเจนว่า “ลุงป้อม” ส่งเข้าประกวดด้วยตัวเอง
ถ้าจะกล่าวว่าทั้ง 3 คนได้ดีเพราะ “พี่ป้อม” ก็คงคงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ส่วน “ทีมลุงตู่” งานนี้ก็ชัดเจนว่ามีรัฐมนตรีใน “โควตาส่วนตัว” และดำรงความเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่ชัดแจ้ง เพราะเที่ยวที่แล้ว “ทีมงานสี่กุมาร” นำโดย “เฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นเพียงแค่ทีมที่เข้ามาช่วยทำงานเท่านั้น ขณะที่ ครม.ตู่ 2 “ลุงตู่” เลือกรัฐมนตรีในโควตาด้วยตัวเองแบบไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ ไม่ว่าจะเป็น “เฮียพงษ์-นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ที่เป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รั้งเก้าอี้มือขวาของ “ลุงตู่” ในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ส่วน “ปรีดา ดาวฉาย” อีกหนึ่งเด็กสร้างก็รั้งเก้าอี้ “มือซ้าย” ในการกำกับดูแลกระทรวงพลังงานที่มีการช่วงชิงกันอย่างหนักหนาสาหัสในพรรคพลังประชารัฐ แต่สุดท้ายก็ “เสร็จลุงตู่”(อยู่ดี)
รวมถึง “ทูตดอน-ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ลุงตู่เพิ่มเก้าอี้ “รองนายกฯ” ให้อีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่เพิ่งมากขึ้นและเป็น “ทีมลุงตู่ที่แท้ทรู” ไม่นับรวมถึง “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีก็ต้องถือว่าเป็น “ทีมลุงตู่” เช่นกัน
ครม.ตู่ 2 จึงเต็มไปด้วย “เด็ก 2 ลุง” พาเหรดกันเข้ามาอย่างคับคั่ง
จะมีก็แต่ “สองมิตร” คือ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่ “ฝันอร่อย” อยากเปลี่ยนเก้าอี้ ก็เป็นอันต้อง “ฝันค้าง” ไปตามความคาดหมาย แถมยังเจอ “บทโหด” สยบความซ่า ด้วยการเอาคดีฝายแม้วของ “อนงค์วรรณ เทพสุทิน” มาคุมประพฤติมิให้คิดการใหญ่อีกต่างหาก...เรียกว่า ต้องกลืนเลือดไปแบบเจ็บช้ำระกำใจไปอีกนาน เฉกเช่นเดียวกับ “รัฐมนตรีหน้าเดิม” คนอื่นๆ ก็คงทำได้แค่เพียง “น้ำจิ้ม” หรือ “ไม้ประดับ” คณะรัฐมนตรีไปตามท้องเรื่องเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครหรือพรรคไหนกล้าฮือมากมายอะไรนัก เรียกว่าประคับประคองกันไปให้ตลอดรอดฝั่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็คงพอใจแล้ว
ทีนี้เมื่อ “ลุงตู่” รับตำแหน่ง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ก็ประกาศนโยบายผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจทันที โดย “ลุงตู่” ประกาศว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ดังนั้น จึงตัดสินใจเลือกแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด โดยไม่ได้มองว่าอยู่ในการเมืองหรือไม่ ให้เข้ามาบริหารงานด้านเศรษฐกิจ โดยโปรยยาหอมว่า “สองขุนพลซ้ายขวา” เป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพในเรื่องเป็นผู้มีจริยธรรม และมีประวัติการทำงานที่โดดเด่น ในฐานะมืออาชีพมาอย่างยาวนาน
นอกจากนั้น “ลุงตู่” ยังได้มอบ 5 แนวทางในการทำงานด้านเศรษฐกิจกับ “สองขุนพลซ้ายขวา” ซึ่งประกอบด้วย หนึ่ง- ต้องเยียวยาความเจ็บปวดที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ต่อไปอีกโดยเฉพาะกลุ่ม SME และประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องตกงานในช่วงที่ผ่านมา สอง-ต้องแก้ปัญหาต่างๆ ในแนวทางที่จะช่วยประเทศ อย่างยั่งยืน โดยต้องตระหนักอยู่เสมอว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เงินเยียวยากันไปตลอด ดังนั้น ต้องเริ่มทำโครงการที่จริงจัง ทำให้ได้ ที่จะช่วยแก้ปัญหาปัจจุบัน นอกจากนั้น ต้องเตรียมการที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้ได้อย่างยั่งยืน เมื่อโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ต้องทำโครงการที่ถูกต้อง ตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ และจะต้องใช้เงินที่มีอยู่อย่างเหมาะสม และให้ความช่วยเหลือไปถึงคนที่ต้องการจริงๆ โดยใช้กลไก โครงสร้าง คณะกรรมการ และศูนย์บริหารสถานการณ์ที่มีการทำงานบูรณาการกัน ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
สาม-ต้องสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจต่างๆโดยยังคงการจ้างงานลูกจ้างของเค้าต่อไป และให้ธุรกิจต่างๆ ใช้ช่วงเวลานี้ พลิกองค์กรของตัวเองให้กลายเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น สี่-ต้องมีแผนเรื่องการจ้างงานคนรุ่นใหม่ เพราะนักศึกษาจบใหม่จำนวนมากกำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน และทิ้งท้ายแบบสวยๆ ในข้อที่ 5 ว่า งานที่เกี่ยวกับการทำงานต่างๆ เหล่านี้ จะต้องทำด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส่ และรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกคนในสังคมมีบทบาทหน้าที่ ที่จะช่วยกันนำพาประเทศ ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้
“คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” สิ่งที่ “ลุงตู่” ร่ายยาวออกมาแล้วก็คงต้องติดตามว่าคำพูดดังกล่าวจะกลายเป็นความจริงในทางปฏิบัติได้จริงหรือไม่อย่างไร
ส่วนการ “แบ่งงาน” นั้น หลังการประชุม ครม.ตู่ 2 จบลง ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “ใครคุมอะไร” กันบ้าง โดยจุดที่จับตามองก็คือบทบาทของ“อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่โดดเด่นกลายเป็น “รองนายกฯ เบอร์ 3” แทน “จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวคือเดิมลำดับที่ 1 เป็น พล.อ.ประวิตร ลำดับที่ 2 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ลำดับ 3 เป็น นายวิษณุ ลำดับที่ 4 นายจุรินทร์ และลำดับ 5 นายอนุทิน แต่มติ ครม.ครั้งนี้ มีการปรับลำดับใหม่ โดยพล.อ.ประวิตร อยู่ลำดับที่ 1 เหมือนเดิม ลำดับ 2 เป็นนายวิษณุ ลำดับ 3 นายอนุทิน ที่เลื่อนขึ้นมาอยู่ก่อนนายจุรินทร์ ลำดับ 4 นายจุรินทร์ ลำดับ 5 นายดอน และลำดับ 6 นายสุพัฒนพงษ์
นัยตรงนี้ อาจตีความถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปในระหว่างแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ว่า ผู้มีอำนาจรู้สึกไว้ว่างใจ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เสี่ยหนู” มากว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อู๊ดด้า” ซึ่งที่ผ่านมามักฟาดงวงฟาดงาให้เห็นทั้งในระดับรัฐบาลและรัฐสภาอยู่เนืองๆ
ส่วนการมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกฯมีการแบ่งงานกันใหม่ ที่ประชุมครม.โดย “ลุงตู่” เคาะออกมา ดังนี้ คือ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร” รองนายกฯ ยังคงกำกับดูแล 4 กระทรวง คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน เหมือนเดิมตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 62 สำหรับ “รองณุ-นายวิษณุ เครืองาม” จากเดิมกำกับดูแล 3 กระทรวง คือ กระทรวงยุติธรรม ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มอีก 1 กระทรวง คือ กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) สำนักงานเลขากฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
ว้าว...ภาระหน้าที่ของ “ลุงป้อม” ไม่ธรรมดาสมกับความเป็น “หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่” จริงๆ
ขณะที่ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ยังคงกำกับดูแลกระทรวง 3 กระทรวง คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข เหมือนเดิมตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 62 ส่วนนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ดูแล 3 กระทรวง คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงพาณิชย์ ด้าน “ทูตดอน-นายดอน ปรมัตถ์วินัย” รองนายกฯ และ รมว.ต่างประทศ กำกับดูแล 2 กระทรวง คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ “รองนายกฯ หน้าใหม่” อย่างนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กำกับดูแล 2 กระทรวง คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (องค์การมหาชน)
ตัดภาพไปที่รัฐมนตรีหน้าใหม่อย่าง “เสี่ยแฮงค์-นายอนุชา นาคาศัย” รมต.ประจำสำนักนายกฯ เที่ยวนี้ได้รับมอบหมายจาก “ฯพณฯนายกฯ” ให้กำกับดูแล กรมประชาชนสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานราชบัณฑิตยสภา สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
เห็นภาพจริงและภาระงานใหม่ที่จัดสรรปันส่วนกันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกล่าวดังๆ ว่า งานนี้ “ทีมลุงตู่และทีมลุงป้อม” ได้ประโยชน์โภชน์ผลไปเต็มสองไม้สองมือ
จากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า “ครม.ตู่ 2” จะบริหารบ้านเมืองและนำพาประเทศชาติให้พ้นจากสารพัดวิกฤต ทั้งการเมืองเรื่องม็อบ ทั้งการสาธารณสุขเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่หนักหนาสารหัสในขณะนี้ไปทิศทางใด ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และไม่ใช่เรื่อง “ชื่นมื่น” อย่างที่วาดฝันกันเอาไว้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เมื่อสลัดทีมสี่กุมารทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ก็ต้องดูว่า “หัวหน้าทีม” อย่าง “ลุงตู่” ที่เลือกเฟ้น 2 ขุนพลอย่าง “นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์และนายปรีดี ดาวฉาย” จะนำพา “เรือแป๊ะ” ที่ประชาชนทั้งประเทศฝากความหวังไว้ไปได้ไกลตามที่ “ลุงตู่” ประกาศไว้มากน้อยแค่ไหนและ “ไหวมั้ย.....”
แน่นอนว่า คงไม่มีอะไรดีไปกว่าหยิบยืมคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ฝากเอาไว้ให้กับรัฐมนตรีของตนเองไว้อย่างมีนัยสำคัญว่า “ขอให้โชคดี”