การที่บรรดา “มวลชนเลบานอน” ออกมารวมมือ รวมตีน ไล่บด ไล่บี้ บรรดา “นักการเมือง” ไปจนถึงระบบและระบอบการเมือง การปกครอง ในเลบานอน ที่ออกอาการ “ห่วยแตก” มาโดยตลอดนั้น ย่อมต้องถือเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปตาม “กฎแห่งธรรมชาติ” อันว่าด้วย... “ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป” นั่นแล หรือเป็นเพราะ “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้มันต้องเป็นไปเช่นนั้น หรือ “มันเป็นเช่นนั้นเอง” อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...การบังคับ ขับไส การหันไปเล่นงานผู้ที่มีส่วนสร้างความเลวร้ายให้กับประเทศเลบานอน โดยไม่ได้มองไปถึงองค์ประกอบและ “เหตุปัจจัย” อื่นๆ ที่มีส่วนสร้างความเลวร้ายให้กับบ้านเมืองตัวเองควบคู่ไปด้วย นั่นก็คือความพยายามครอบงำให้ดินแดนเล็กๆ แห่งนี้ ต้องอยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพล ของต่างชาติมาโดยตลอด การอาศัยวิธี “แบ่งแยกและปกครอง” ที่ทำให้สังคมเลบานอน ต้องแตกแยก แตกกระจัดกระจายออกไปเป็นชิ้นๆ ชนิดแทบต่อกันไม่ติด จนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้ว่าบรรดาผู้คนในยุคอดีต ไม่ว่าผิดแผกแตกต่างกันในทางทัศนคติ ในทางความเชื่อ ความศรัทธา ในระดับไหนก็ตาม อย่างเช่นชาวมุสลิมซุนหนี่ ชีอะห์ คริสเตียน เมนโนไนต์ ดรูซ ฯลฯ ก็ยังเคย “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” มาได้โดยตลอด...
การไม่ได้คิดจะมองลึกลงไปถึง “เหตุปัจจัย” ดังกล่าวนี่เอง...เลยทำให้บรรดา “มวลชนเลบานอน” บางกลุ่ม บางเหล่า จึงมีสภาพแทบไม่ต่างไปจากบรรดา “มวลชนหนูเล็กๆ และเด็กๆ ทั้งหลาย” ในบ้านเราทุกวันนี้ ที่ไม่คิดจะให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศ ของสังคม ของค่านิยม วัฒนธรรม-ประเพณี มากไปกว่าความเมามันซ์ซ์ซ์ในทาง “อารมณ์-ความรู้สึก” ที่อุบัติขึ้นมาใน “รุ่นเรา” จนต้องหาทางให้ “จบในรุ่นเรา” ลงไปให้จงได้ หรือนำไปสู่การตั้ง “ศาลเตี้ย” เพื่อพิพากษาและตัดหัวประหารผู้นำขบวนการ “เฮซบอลเลาะห์” ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งซึ่งแฝงฝังอยู่ในระบบอำนาจของประเทศเลบานอนทุกวันนี้ ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือในระดับสังคม ก็ตาม...
การคิดที่จะมุ่งร้าย ทำลายขบวนการเฮซบอลเลาะห์ ที่หันไป “Look East” หรือหันไปเป็นมิตรกับประเทศอย่างอิหร่าน ซีเรีย และจีน อันเป็นการทำลายผลประโยชน์โดยพื้นฐานของพวก “Look West” หรือพวกที่คิดจะครอบงำประเทศเลบานอน ให้ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพลของต่างชาติ อันได้แก่บรรดาประเทศตะวันตกมาโดยตลอด ก็จึงไม่ต่างอะไรไปจากการปฏิเสธที่จะให้ความยอมรับ ความพยายามที่จะ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อบรรดาชาวเลบานอนด้วยกันเอง จำนวนไม่น้อยไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด แถมยังไม่ได้เป็นผู้ที่ออกอาการเลวร้าย อย่างชนิดไม่พึง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ได้โดยเด็ดขาด เพราะแม้แต่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” อันถือเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย ไม่ใช่แต่เฉพาะชาวเลบานอนเท่านั้น และไม่ว่าจะมีทัศนคติ มุมมอง ในแบบไหนต่อแบบไหนก็ตาม ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่าบรรดาพวกขบวนการเฮซบอลเลาะห์นี่แหละ ที่ออกจะเอาจริง-เอาจัง เอาเรื่อง-เอาราว ถึงขั้นลงทุนจัดตั้ง “Operation Room” ขึ้นมาเป็นการด่วน ระดมนายแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ขึ้นมาช่วยดูแล รักษา ป้องกัน และเยียวยา บรรดาชาวเลบานอนที่ติดเชื้อ-ไม่ติดเชื้อ ชนิดไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะ “Look East” หรือ “Look West” เอาเลยแม้แต่น้อย...
หรือแม้กระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดระดับหลานๆ นิวเคลียร์ ขึ้นมาในกรุงเบรุต โดยไม่จำเป็นต้องรับรู้ รับทราบ ว่าเป็นเพราะอะไร? หรือเพราะโดยฝีมือใคร? ก็ตาม แต่หน่วยงานที่มีความผูกพัน ใกล้ชิดติดพันกับขบวนการเฮซบอลเลาะห์ อย่างองค์กร “Islamic Health Organization” หรือ “IHO” ก็ได้ระดมอาสาสมัคร จิตอาสา ออกไปช่วยเหลือ เฟือยฟาย บรรดาผู้ที่ประสบเคราะห์กรรม เคราะห์หามยามร้าย โดยไม่ได้คำนึงถึงทัศนคติและมุมมอง ว่าจะผิดแผกแตกต่างกันไปในรูปไหน แบบไหน อย่างชนิดหามรุ่ง หามค่ำ ฯลฯ ไม่ว่าการแสดงออกในลักษณะดังกล่าว จะเป็นจิตวิทยาทางการเมือง เป็นการประชาสัมพันธ์ โฆษณาตัวเอง เป็นการสร้างความสำคัญให้กับกลุ่มก้อน องค์กร หรือสถาบันของตัวเอง หรือไม่ อย่างไร ก็ตาม แต่ต้องถือเป็น “กุศลกรรม” อันมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่คิดจะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ภายในสังคมหนึ่งๆ หรือผู้ที่ไม่ได้คิดเพียงแค่ว่า ความผิดแผกแตกต่างกันในทัศนคติ มุมมอง ในบางด้าน จะต้องถือเป็น “อกุศลกรรรม” เสมอไป...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้การก่อรูป ก่อร่าง ของมวลชนเลบานอนบางกลุ่ม บางเหล่า ที่แม้จะ “ยกระดับ” การเคลื่อนไหวไปถึงขั้นสามารถโค่นล้มรัฐบาลเลบานอนลงไปได้แล้วทั้งแผง สามารถจุดเชื้อไฟแห่งการปฏิรูประบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปได้ในบางขั้น บางระดับ แต่ถ้าหากไม่คิดจะให้การยอมรับต่อผู้ที่มีทัศนคติ มุมมอง แตกต่างไปจากตัวเองในบางเรื่อง บางด้าน อย่างเช่นเรื่องการหาทางออก ทางไป หรือทางรอด ให้กับประเทศเลบานอน ด้วยการ “Look East” หรือ “Look West” เป็นต้น โอกาสที่จะหามุมจบ หาจุดลงตัวที่เป็นไปโดนสันติ หรือเป็นไปในแบบที่พอจะอยู่ร่วมกันภายในประเทศเดียวกัน สังคมเดียวกันยังไงๆ...มันคงลำบาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ!!!
หรือคงต้องหาทางเล่นงาน กดดัน และบีบบังคับ ให้ผู้คนจำนวนกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นชาวเลบานอนด้วยกันเองนั่นแหละ ยอมศิโรราบให้กับข้อเสนอ ข้อเรียกร้องของตัวเอง เช่น การ “ตัดหัว” ผู้นำขบวนการเฮซบอลเลาะห์ ให้สูญสิ้นมลายหายไปจากแวดวงการเมืองเลบานอนลงไปให้จงได้ โดยบรรดาสิ่งเหล่านี้...จะมีโอกาสเป็นไปได้ก็ต่อเนื่อง ต้องหันไปชักลากเอา “ต่างชาติ” ไม่ว่าอเมริกา ฝรั่งเศส อิสราเอล หรือแม้แต่ชาติอาหรับอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่เล่นบท “อีแอบ” มาโดยตลอด เข้ามาช่วยเหลือ กดดัน หรือบีบบังคับต่อกลุ่มก้อน ขบวนการดังกล่าว ด้วยกรรมวิธีใด วิธีหนึ่งนั่นเอง และนั่นก็คงหนีไม่พ้นต้องหันไปย้อนอดีต หรือย้อนยุคกลับไปสู่ “ยุคสงครามกลางเมือง” อันเคยอุบัติขึ้นมาและสร้างความพังพินาศ ฉิบหายให้กับประเทศเลบานอน อย่างชนิดเจ็บปวดร้าวกันไปทั่วทั้งประเทศ กันอีกครั้ง อีกครา อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจนำมาใช้เป็นบทเรียน เป็นสติ เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับบรรดา “มวลชน” ในประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของบ้านเราในช่วงนี้ได้มั่ง ไม่มากก็น้อย คือไม่ว่าความผิดแผกแตกต่าง ในด้านทัศนคติและมุมมองต่อเรื่องราวในแต่ละเรื่อง หรือในเจเนอเรชั่นแต่ละเจเนอเรชั่น มันอาจไม่เหมือนกัน ไม่สอดคล้องต้องกัน ไปในรูปไหน ลักษณะไหน ก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่สำคัญเอามากๆ ก็คือการหนทางที่จะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ภายในสังคมเดียวกัน แผ่นดินเดียวกัน หรือกระทั่งภายใน “ครอบครัวเดียวกัน” ได้ในแบบไหน? อย่างไร? การอาศัย “มาตรฐานความถูกต้อง-ชอบธรรม” ที่อาจถึงขั้นต้องตัดหัวพ่อมม์ม์ ตัวหัวแม่มม์ม์ตัดขาดจากผู้คนภายในสังคมเดียวกัน โดยไม่พยายาม “เข้าถึง” และ “เข้าใจ” ต่อพื้นฐานความผิดแผกแตกต่างกันในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี ที่อาจพอช่วยให้เกิดการ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ได้ ไม่ถึงขั้นต้องลงไม้ ลงมือ หรือถึงขั้นต้อง “เลือดนองท้องช้าง” จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ควรนำมาใคร่ครวญและพิจารณาเอาไว้ให้จงหนัก ด้วยประการละฉะนี้...แล...เทอญญ์ญ์ญ์....