ช่วงระหว่างนี้...ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะดวงเมือง ดวงโลก หรือดวงอะไรกันแน่!!! ที่ทำให้เกิดอาการ “พฤหัสฯ จร” และ “เสาร์จร” กันไปแทบจะทั่วทั้งโลก หรือเกิดการรวมมือ รวมตีนของบรรดา “มวลชน” ในประเทศต่างๆ ไม่ว่าในอเมริกาที่กลุ่มก้อน ขบวนการ “Black Lives Matter” ยังคงหัวไม่ตก ยังออกมาไล่รื้ออนุสาวรีย์ ไล่ล่าพวกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก หรือถึงจะส่งกองกำลังจากรัฐบาลกลาง ไปไล่กันถึงที่ในแต่ละรัฐๆ โดยเฉพาะรัฐฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีอเมริกา หรือรัฐของพวกเดโมแครตทั้งหลาย แต่ก็ยังหาข้อยุติ หาบทสรุปยังไม่เจอ แม้ตราบเท่าทุกวันนี้...
หรือข้ามฟากไปถึงประเทศเบลารุส อดีตหนึ่งในเครือข่ายสหภาพโซเวียตรัสเซีย ที่เพิ่งจัดให้มีการเลือกตั้งกันไปหมาดๆ แม้เสียงสนับสนุนประธานาธิบดีคนเก่า จะมาแรง-แซงโค้งถึงระดับ 80 เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ฝ่ายค้าน ฝ่ายตรงข้าม มีเสียงสนับสนุน แค่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ก็ด้วย “อารมณ์-ความรู้สึก” ว่าการเลือกตั้งคราวนี้ ออกจะสกปรกรกรุงรังอย่างเป็นที่สุด การรวมมือ รวมตีน ของปวงชนชาวเบลารุส ออกมาประท้วงการเลือกตั้งและผู้นำของตนเอง ก็จึงดุเดือดเลือดพล่าน หนักซะยิ่งกว่าพวกต่อต้านการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ในอเมริกาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ไม่ต่างไปจาก “บ้านเรา” หรือประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่แม้ว่าจะไม่มีเรื่องเหยียดผิว ไม่ได้อยู่ช่วงระหว่างการเลือกตั้งใดๆ ก็ตาม แต่ก็ด้วยเหตุที่พวก “เด็กๆ” เขาชักรู้สึกว่าไม่อยากจะทนกับอะไรต่อมิอะไรอีกต่อไปแล้ว ซึ่งก็ยังไม่ถึงกับ “ชัดเจน” ว่า “อะไรต่อมิอะไร” นั้น มันคืออะไรกันแน่!!! วัฒนธรรม-ประเพณี ค่านิยมทางสังคม รัฐธรรมนูญ หรือรัฐบาลผู้สืบทอดอำนาจเผด็จการมายาวนานประมาณ 5 ปี 6 ปี ฯลฯ การตัดสินใจรวมมือ รวมตีน ออกมาแฟลชม็อบ แฟลชแดนซ์ จนกระทั่งค่อยๆขยายตัว หรือค่อยๆ “จุดติด” จากการเรียกร้องให้ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ-ยุบสภาฯ-เลิกคุกคามประชาชน” กลายมาเป็นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่จาบจ้วง ล่วงลามไปถึงสถาบันทางสังคม ที่ถือเป็น “เสาหลัก” หนึ่งในสามของโครงสร้างสังคมไทย จึงอุบัติขึ้นมา แบบน่าตื่นตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อ “ไหนๆ” ตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เริ่มต้นด้วยการหันไปแวะ หันไปทัวร์ประเทศ “เลบานอน” ที่เพิ่งเกิดเหตุโศกนาฏกรรม เกิดการระเบิดของสารวัตถุอันตรายระดับ “หลานๆ ระเบิดนิวเคลียร์” จนผู้คนล้มตายกันไปเป็นร้อยๆบาดเจ็บร่วมๆ ครึ่งหมื่น และกลายเป็นเหตุให้เกิดรายการ “พฤหัสฯ จร” และ “เสาร์จร” ตามมา คือเกิดการประท้วง ลุกฮือของมวลชนชาวเลบานอน นับเป็นหมื่นๆ วันนี้...เลยคงต้องขออนุญาต กลับไป “อัพเดต” สถานการณ์ในเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะแม้จะเป็นเรื่องไกลตัว ไกลบ้าน จาก “บ้านเรา” อยู่พอสมควร แต่หลายสิ่ง หลายอย่าง อาจหยิบเอามาใช้เป็นข้อคิด เป็นสติเตือนใจ หรือเป็น “อุทาหรณ์” ได้มั่ง ไม่มากก็น้อย...
คืออย่างที่ว่าๆ เอาไว้ประมาณ 2 ตอนติดต่อกัน ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มาแล้วนั่นแหละว่า...ถึงแม้จะไม่เกิดเหตุระเบิดระดับอาคารบ้านเรือนพังพินาศฉิบหายไปเป็นแถบๆ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ความพังพินาศฉิบหาย ในทาง “เศรษฐกิจ” ของประเทศเล็กๆ แต่มีความสำคัญทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” “มิใช่น้อย อย่างเลบานอนนั้น ก็แทบจะทำให้ดินแดนโบร่ำโบราณแห่งนี้ กลายเป็น “ประเทศล้มเหลว” หรือ “รัฐล้มเหลว” เอาง่ายๆ หรือหนีไม่พ้นต้องหันไปบากหน้า หันไป “เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา” จากนอกประเทศไม่ว่าจาก “เงินกู้” ขององค์กรการเงินระหว่างประเทศ อย่าง “IMF” “หรือไม่งั้นก็จาก “การลงทุน” จากประเทศ “เสี่ยสั่งลุย” อย่างคุณพี่จีน จนก่อให้เกิดทัศนคติและมุมมอง ที่ต่างออกไปเป็น 2 ด้าน 2 ซีก จนแทบหา “จุดลงตัว” ได้ลำบาก คือในขณะที่ฝ่ายหนึ่งหันไป “Look West” หรือหันไปมองหาความช่วยเหลือจากบรรดาประเทศตะวันตก ที่เคยมีบทบาท อิทธิพลครอบงำดินแดนแห่งนี้ในฐานะ “อาณานิคม” “ไม่ว่าแผนเก่า หรือแผนใหม่ หรือในฐานะ “รัฐในอารักขา” มานานแสนนาน เช่น ฝรั่งเศส อเมริกา ไปจนถึงอิสราเอล ฯลฯ ขณะอีกฝ่ายหนึ่งก็พยายามเสนอให้หันไป “Look East” หรือหันไปหาประเทศจีน ที่ไม่เพียงแต่กำลังมีบทบาท อิทธิพล ในทางเศรษฐกิจ การค้าในเลบานอนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังมีเส้นสาย โยงใย มีความเป็น “พันธมิตรในทางยุทธศาสตร์” กับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง อย่างอิหร่านและซีเรีย อย่างแน่นเหนียวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ความขัดแย้งในทัศนคติมุมมองระหว่างการหันไป “Look East” หรือ “Look West” นี่เอง...ทำให้ “เหตุระเบิด” คราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะ “อุบัติเหตุ” หรือเพราะการ “สมคบคิด” วางแผนวินาศกรรมใดๆ ก็ตาม จึงกลายเป็นตัว “ร่นระยะเวลาการตัดสินใจ” ให้บรรดา “ปวงชนชาวเลบานอน” ทั้งหลาย จะต้องเร่งหาข้อยุติ หาจุดลงตัวกันให้จงได้ ไม่งั้นโอกาสที่จะ “แพ้กันไปทั้งประเทศ” หรือไม่มีฝ่ายใดเป็น “ฝ่ายชนะ” เอาเลยแม้แต่น้อย ย่อมมีความเป็นไปได้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
ดังนั้น...ตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ (7 ก.ค.) ที่ผ่านมา ขณะบรรดา “มวลชน” ชาวเลบานอนได้ตัดสินใจ “ลงถนน” รวมทั้งได้มีโอกาสพบปะเจอหน้า เจอตา ผู้ที่เดินทางมาเยือนในฐานะไม่ต่างไปจาก “วีรบุรุษผู้กอบกู้” จากต่างประเทศ อย่าง “นายเอ็มมานูเอล มาครง” ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อดีตประเทศที่เคยเป็นผู้ “อารักขา” ดินแดนเลบานอนมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งรีบแจ้นมาให้การปลอบประโลมมวลชนชาวเลบานอน ทั้งๆที่ภายในประเทศตัวเอง ยังคงต้องเจอกับ “มวลชนชาวฝรั่งเศส” อย่างพวก “Yellow Vests” หรือ “ม็อบเสื้อกั๊กเหลือง” ที่ยังไม่คิดจะเลิกราในการประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศส จนตราบเท่าทุกวันนี้ และจะด้วยการแสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้า การให้คำมั่น-สัญญา ว่าจะเข้ามาช่วยกอบกู้สถานะของประเทศเลบานอน ให้พ้นไปจากโรคซ้ำกรรมซัดโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าในเรื่องเหตุระเบิด เรื่องเงินๆ-ทองๆ ไปจนถึงความขัดแย้ง แตกแยก ในทางการเมือง ฯลฯ ข้อเสนอให้หาทาง “จัดระเบียบการเมืองใหม่” ให้มีการ “ตรวจสอบบัญชีธนาคารกลางเลบานอน” โดยตัวแทนธนาคารโลก IMF และสหประชาชาติ ไปจนถึงการจัดตั้งองค์กรเพื่อรับเงินบริจาคช่วยเหลือประเทศเลบานอน โดยไม่จำต้องผ่านตัวแทนรัฐบาล หรือบรรดานักการเมืองที่ขัดแย้ง แตกแยก และทุจริต คอร์รัปชัน มาโดยตลอด ฯลฯ เลยดูจะก่อให้เกิดความคึกคัก เกิดแรงฮึด ไปจนเกิดอาการ “ของขึ้น” ต่อบรรดามวลชนชาวเลบานอน มิใช่น้อย...
และนั่นเอง...ที่อาจส่งผลให้บรรดามวลชนชาวเลบานอนจำนวนไม่น้อย เลยเกิดอาการกล้าเสีย กล้าได้ และกล้าตาย หรือออกอาการประเภท “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ไม่ต่างไปจาก “ม็อบเด็กๆ” ของบ้านเราในทุกวันนี้ คือพร้อมที่จะเดินหน้าฝ่ากระสุนยางและแก๊สน้ำตาของตำรวจ บุกเข้ายึดที่ทำการอาคารรัฐสภา บุกกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการค้า สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงกระทรวงพลังงานและน้ำ ฯลฯ จนทำให้รัฐมนตรีแต่ละรายในรัฐบาลเลบานอน ต้องตัดสินใจประกาศ “ลาออก” กันไปเป็นรายๆ ก่อนที่รัฐบาลทั้งรัฐบาล จะประกาศลาออกยกชุด ในช่วงวันจันทร์ที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยในระหว่างการประท้วงของม็อบดังกล่าว ได้จัดให้มีการตั้ง “ศาลเตี้ย” เพื่อพิพากษาและแขวนคอ บรรดาผู้ที่มีบทบาททางการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ประธานาธิบดี “Michel Aoun” แห่งพรรค “Free Patriotic Party” นายกรัฐมนตรี “Hassan Diab” แห่งพรรค “Future Movement” ไปจนถึงหัวหน้าขบวนการ “Hezbollah” อย่าง “นายHassan Nasrallah” ฯลฯ แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ความ “เราชนะแล้ว...แม่จ๋า” หรือไม่? ประการใด? คงต้องไปปิดท้ายกันในวันพรุ่งนี้...ดูอีกที...