เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองแวะไปแถวตะวันออกกลาง หรือที่ประเทศ “เลบานอน” เขานั่นแหละ เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ประเทศเล็กๆ ประเทศนี้ แต่ก็ออกจะมีความสำคัญมิใช่น้อย โดยเฉพาะในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ เพิ่งต้องเจอกับ “โศกนาฏกรรม” ระดับร้ายกาจ ร้ายแรงเอามากๆ ด้วยเหตุเพราะสารวัตถุอันตราย อย่าง “แอมโมเนียไนเตรท” นับพันๆ ตัน (2,750 ตัน) ที่ถูกเก็บ ถูกดองไว้เป็นปีๆ แถวๆ ท่าเรือ ด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ มันเกิดระเบิดตูมๆ ตามๆ ขึ้นมา...
ส่งผลให้เกิดแรงระเบิดระดับ “หลานๆ ฮิโรชิมา” หรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของอานุภาพระเบิดปรมาณูที่คุณพ่ออเมริกาเคยเอาไปหย่อนใส่เมืองฮิโรชิมาประเทศญี่ปุ่น เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถึงแม้ระดับหลานๆ หรือน้องๆ ก็ยังส่งผลให้ชาวเลบานอน ต้องล้มตายกันไปเป็นร้อยๆ บาดเจ็บร่วมๆ ครึ่งหมื่น อาคารบ้านเรือนพังพินาศ ไปไม่น้อยกว่า 300,000 หลัง จนทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกต ข้อสมมติฐานไปต่างๆ นานา ว่าเอาไป-เอามา...จะเป็นเพราะ “อุบัติเหตุ” เป็นเพราะการ “ก่อการร้าย” หรือ “วินาศกรรม” กันแน่ หรือทำให้เกิด “ทฤษฎีสมคบคิด” ขึ้นมาหลายรูป หลายแบบ...
ส่วนใครจะเป็นผู้กระทำการ เป็นคนลงมือ อาศัยจรวดขีปนาวุธ เครื่องบินโดรน อาศัยลูกระเบิด ฯลฯ เป็นตัวจุดชนวนให้สารวัตถุอันตรายนับพันๆ ตัน มันเกิดระเบิดขึ้นมา อันนั้น...คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของ “นักทฤษฎีสมคบคิด” ทั้งหลาย ท่านไปวาดจินตนาการกันเอาเอง หรือไปคิดเอง-เออเอง กันตามเรื่อง ตามราว เพราะโอกาสที่จะไปรับรู้ รับทราบ ในเรื่องทำนองนี้ มันออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เอามากๆ ประเภทใครกันแน่...ที่อยู่เบื้องหลังการวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดในอเมริกา ใครเป็นผู้ควบคุม บังคับ สายการบินมาเลย์ให้หายสาบสูญไปจากน่านฟ้าจนตราบเท่าทุกวันนี้ ฯลฯ คือเป็นเรื่องที่ “พูดง่าย” แต่ออกจะ “เชื่อ” ลำบาก อยู่พอสมควร ขนาดแค่เรื่อง “น้องบอส กระทิงแดง” ขับรถด้วยความเร็ว 170 หรือ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันแน่ ยังหนีไม่พ้นต้องเถียงกันไป-เถียงกันมาในบ้านเรา จนกว่า “ตำรวจ” หรือ “อัยการ” ท่านเริ่มมี “ยางอาย” ขึ้นมาบ้างแล้วนั่นแหละ ถึงพอจะหาข้อสรุป หาข้อยุติกันได้มั่ง...
ดังนั้น...สิ่งที่จะชวนไปแวะ หรือชวนให้ “ตามไปดู” ประเทศเลบานอนกันในวันนี้ คงเป็นเรื่องของสิ่งที่น่าจะอุบัติตามมานับจากนี้ ว่ามันกำลังเป็นไปในแนวไหน อย่างไร อันอาจนำมาใช้เป็นคำตอบ คำอธิบายต่อ “โศกนาฏกรรม” ระดับโลกตะลึง คราวนี้ได้บ้าง คือประเทศเล็กๆ และออกจะโบร่ำโบราณแต่มีความสำคัญมิใช่น้อย อย่างเลบานอนนั้น คงต้องสรุปว่า...อาจอยู่ในช่วงระหว่าง “ดวงเมือง” กำลังซวย หรืออยู่ในช่วง “ดวงตก” ระดับตกกันแบบ 2 ชั้น 3 ชั้น ยิ่งกว่า “ดวงบิ๊กตู่” บ้านเราเป็นไหนๆ เรียกว่า...ไม่ใช่แค่เจอกับ “พฤหัสฯ จร” หรือ “เสาร์จร” เข้าสู่ “ภพวินาสน์” ตามศัพท์แสงทางวิชาการของหมอดูเมืองไทยเท่านั้น เพราะไม่ว่า “จันทร์-อังคาร-พุธ-พฤหัสฯ-ศุกร์-เสาร์” เผลอๆ อาจรวมไปถึง “อาทิตย์” โน่นเลย ต่างพร้อมใจกัน “จร” เข้าสู่ภพอะไรต่อมิอะไรอันน่าจะไม่เป็นที่ “พึงปรารถนา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
คือก่อนหน้าเกิดเหตุโศกนาฏกรรม เหตุระเบิดชนิดโลกตะลึงอย่างที่ว่า หรือกระทั่งก่อนหน้าที่ต้องเจอกับการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” เช่นเดียวกับบรรดาประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกด้วยซ้ำ ประเทศที่ถือเป็นประตูบานสำคัญของตะวันออกกลาง อันเปิดไปสู่ตะวันตกผ่านทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนประเทศนี้ ก็ดันต้องเจอกับ “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” ชนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดินเอามากๆ เรียกว่า...ถึงขั้นบางครั้ง บางครา ถูกนำไปเปรียบเทียบกับประเทศที่ใกล้เจ๊ง หรือกำลังเจ๊งอย่างซิมบับเวในแอฟริกา หรือเวเนซุเอลาในอเมริกาใต้ เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ค่าเงิน “ปอนด์เลบานอน”ออกอาการหัวทิ่มดินไม่น้อยไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จากประมาณ 1,500 ปอนด์เลบานอน แลกเงินดอลลาร์สหรัฐได้ 1 ดอลลาร์ กลายเป็นต้องหอบเงินปอนด์เลบานอนถึง 8,000 ปอนด์ ถึงจะแลกเงินดอลลาร์ในอัตราที่เท่ากัน โดยเฉพาะในตลาดมืด บรรดาคนยาก คนจนที่มีอยู่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ในประเทศ เลยต้องร้อง “จ๊ากก์ก์ก์” หรือต้องโหยหวน ครวญครางกันโดยทั่วหน้า รวมถึงบรรดาคนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือน ไล่ไปจนนิสิต นักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ไม่เพียงหางานทำแบบยากแสนยาก เงินที่ได้รับตอบแทนจากค่าจ้าง ค่าแรงในแต่ละเดือน ยังลดมูลค่า ลดราคา จนก่อให้เกิดอาการ “กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง” กันไปแทบทั้งประเทศ...
ยิ่งต้องเจอกับการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาดของเชื้อ “COVID-19”ที่เริ่มพบเคส พบอาการช่วงราวๆ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ยิ่งแทบหงายหลังทั้งยืน ต้องปิดบ้าน ปิดช่อง ปิดเมือง ต้องออกมาตรการรับมือการแพร่ระบาด จนทำให้ภาวะเศรษฐกิจยิ่งจมดิ่งเข้าไปอีก ไม่น่าจะน้อยกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ หรือน่าจะทำให้จำนวนปริมาณคนจน ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นมาตรฐานความยากจนของสหประชาชาติ ซึ่งเคยมีอยู่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย และนั่นเอง...ที่ทำให้รัฐบาลเลบานอน เลยหนีไม่พ้นต้องบากหน้าไปขอกู้เงินจาก “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ “IMF” เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ เอามาช่วยโปะ ช่วยเยียวยา หรือช่วยหนุนเสริมเงินตราต่างประเทศที่กำลังร่อยหรอ จนแทบไม่เหลือติดประเทศไปแล้วก็ว่าได้...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่องค์กรการเงินระหว่างประเทศ อย่าง “IMF” นั้น ท่านออกจะเป็นอะไรที่ “เขี้ยว” เอามากๆ ไม่ใช่กู้กันได้ง่ายๆ เพราะแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เคยเจอมาแล้ว ในช่วง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” การตั้งเงื่อนไขในระหว่างการเจรจาขอกู้เงินที่ว่านี้ โดยเฉพาะการแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจต่อบรรดา “นักการเมือง” ในเลบานอน ที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญในการทุจริต คอร์รัปชัน ไม่น้อยไปกว่าประเทศไทยเอาเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ทุกวันนี้...ยังไม่มีเงินกู้แม้แต่บาทเดียว ดอลลาร์เดียว หรือปอนด์เดียว เข้าไปช่วยเยียวยาสถานะรัฐบาลหรือของประเทศเลบานอน แถมตัวแทนผู้เจรจาขอเงินกู้ของเลบานอน อย่าง “นายAlain Bifani” ถึงกับต้องตัดสินใจลาออกจากการเป็นตัวแทนเจรจากับ “IMF”ด้วยเหตุผลเพราะเจอกับ “ทางตัน” หรือไม่อาจตกลงเงื่อนไขใดๆ ได้เลย...
ภายใต้สภาพเช่นนี้...เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปพึ่งคุณพ่ออเมริกา ที่เคยช่วยเหลือ เฟือยฟาย เคย “Americanization” หรือเคยพยายามทำให้ประเทศเลบานอนกลายเป็นอเมริกันให้มากๆ เข้าไว้ โดยอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือนับพันๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟู บูรณะประเทศเลบานอนหลังยุค “สงครามกลางเมือง” เป็นต้นมา จนทำให้บรรดาชาวเลบานอนที่ “นิยมอเมริกัน” เคยมีจำนวนถึง 55 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรมาก่อนหน้านี้ ให้เข้ามาเป็น “ตัวกลาง” ช่วยหาข้อหายุติ หาทางผ่อนคลายเงื่อนไขที่อาจโหดร้ายเกินกว่าที่รัฐบาลเลบานอนจะรับได้ แต่ระหว่างรอๆ ให้คุณพ่ออเมริกาเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย มาเป็นตัวกลางในการกู้เงินจาก “IMF” นี่เอง บรรดานักเศรษฐกิจ นักวิชาการ ไปจนนักการเมืองจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะนักการเมืองระดับหัวหน้าขบวนการ “เฮซบอลเลาะห์”อย่าง “นายHassan Nasrallah” กลับเห็นว่า...การ “หันไปหาจีน” หรือหันไป “Lebanon must look East” น่าเป็นทางออก ทางรอดของเลบานอนได้มากกว่า เข้าท่าซะยิ่งกว่า จนถึงกับกล้าป่าวประกาศความคิด ความเห็นทำนองนี้ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์เลบานอน เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และนั่นเอง...ที่ทำให้ไม่ว่าเหตุระเบิดคราวนี้จะเป็นฝีมือใคร? เป็นอุบัติเหตุ? หรือเป็นการก่อวินาศกรรม? การฟื้นฟู บูรณะความเสียหายจากภาวะ “โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น” ของเลบานอนนับจากนี้...จึงขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลและชาวเลบานอนจะ “เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา” กันในรูปไหน แบบไหน จะหันไปขอความช่วยเหลือจากจีน หรือขอความช่วยเหลือจากอเมริกา กันดี!!! อันนี้...เลยคงหนีไม่พ้นต้องขออนุญาตลากต่อไปวันพรุ่งนี้อีกสักวันก็แล้วกัน...