ผู้จัดการรายวัน360- นายกฯ เผยคณะกรรมการชุด"วิชา มหาคุณ" รายงานผลสรุปการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดี "บอส" มาเป็นระยะ ด้าน"ทนายบอส"ยันครอบครัวอยู่วิทยา เยียวยาครอบครัว"กลั่นประเสริฐ" เป็นเงิน 3 ล้าน สร้างอุโบสถอุทิศส่วนกุศลให้อีก 8 ล้าน อ้างออกหมายจับหลัง"บอส"ไปต่างประเทศแล้ว และถูกเพิกถอนพาสปอร์ต จึงกลับมาขึ้นศาลไม่ได้ ด้าน "อรรถพล" ประธาน ก.อ.จับตาท่าทีอัยการสูงสุด หากไฟเขียว "เนตร" ลาออก สอบวินัยไม่ได้ แต่คดีอาญาน่ากลัวกว่า ขณะที่ยังไม่พบ อสส. เซ็นอนุญาต "เนตร" ลาออก พร้อมจับตาประชุม ก.อ. 18 ส.ค.นี้ จะหยิบเรื่อง "ปรเมศวร์”เมาเขับ ชนแล้วหนีมาพิจารณาหรือไม่ เผยระเบียบข้าราชการ โดนคดีอาญาต้องแจ้งผู้บัญชาหน่วยงาน
วานนี้ (12ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึง การรายงานผลสรุปการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของคณะกรรมการชุด นายวิชา มหาคุณ โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ก็เสนอมาเป็นระยะๆ”
ด้านนายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยา กล่าวว่า ครอบครัวของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ได้รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสน.ทองหล่อ ที่เสียชีวิต ด้วยการเยียวยาเป็นเงิน 3 ล้านบาท ผ่านนายพรอนันต์ กลั่นประเสริฐ พี่ชายของด.ต.วิเชียร นอกจากนั้นยังจัดพิธีศพให้เป็นมูลค่า 5 แสนบาท, ชดใช้ค่าวิทยุสื่อสารของตำรวจที่สูญหาย และซ่อมรถจักรยานยนต์ตำรวจให้ รวมถึงได้ทำตามความประสงค์ของด.ต.วิเชียร ก่อนเสียชีวิต ที่ต้องการทำบุญบูรณะ และสร้างอุโบสถโดยทางครอบครัวอยู่วิทยาได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่ วัดศรีบุญเรือง จ.สกลนคร มูลค่า 8 ล้านบาท เพื่ออุทิศให้ด.ต.วิเชียร ที่เสียชีวิต และร่วมบริจาคเงินให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆด้วย
นายสมัคร กล่าวว่า การเยียวยาทั้งตัวเงินและจิตใจนั้น ครอบครัวด.ต.วิเชียร พอใจ เพราะนายพรอนันต์ เคยเขียนจดหมายขอบคุณครอบครัวนายวรยุทธ ที่ช่วยจัดการงานศพ และช่วยเหลือญาติๆของด.ต.วิเชียร พร้อมระบุว่าเหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้น ไม่ติดใจเอาความ พร้อมอโหสิกรรมให้กับนายวรยุทธ และฝากเตือนให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
"กระแสข่าวที่โจมตีฝั่งนายบอสนั้น คือการฟังความข้างเดียว และได้ร้บข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง หากทำใจเป็นกลางและพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น ด.ต.วิเชียร ขับรถตัดหน้ารถกระบะ จากเลนซ้ายสุดไปเลนที่ 3 ทำให้เกิดการชนกันในเลนขวาสุด โดยเป็นเหตุสุดวิสัย และสามารถยกฟ้องได้ ดังนั้นเมื่อคนคิดว่าชนแล้วต้องผิด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้คือไม่ใช่ เราใช้ช่องทางตามกฎหมายในการร้องขอความเป็นธรรม คุณบอสเขาไปรายงานตัวตามนัดทุกครั้ง และเมื่อเขาไปต่างประเทศ คุณออกหมายจับ และถอนพาสปอร์ตเขาแบบนี้เขาจะกลับเข้าประเทศได้อย่างไร"
นายสมัคร กล่าวด้วยว่า ในการต่อสู้คดีต้องทำทุกวิถีทาง และสู้คดีทุกขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นสอบสวนและอัยการ เพราะหากไปต่อสู้ในชั้นศาล แล้วศาลระบุว่าทำไมไม่ต่อสู้ในชั้นสอบสวน อาจเป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานได้ อย่างไรก็ตามกรณีที่อัยการวินิจฉัยเรื่องคดีว่า ไม่ผิด หรือตำรวจบอกว่าสำนวนนี้ไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของทนายหรือนายวรยุทธ เพราะเป็นหน้าที่ที่อัยการจะวินิจฉัย แต่หากอัยการบอกว่าผิด ต้องไปสู้กันต่อที่ศาล ดังนั้นตนขอให้ประชาชนเข้าใจข้อเท็จจริง และวางใจเป็นกลาง ไม่ใช่มองว่าเพราะเป็นลูกคนรวย แล้วรอดคดี
ด้านนายใหม่ กลั่นประเสริฐ อดีตกำนัน ต.เกาะหลัก ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของด.ต.วิเชียร วัย75 ปี ให้สัมภาษณ์ว่า ตนทราบว่าหลังจากด.ต.วิเชียร เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยา 3 ล้านบาท และแบ่งให้ญาติทั้ง 4 คนๆ ละ 7 แสนบาท และภรรยา 2 แสนบาท นอกจากนั้นยังได้ทำหนังสือสัญญาว่า จะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายใดๆอีก ทั้งนี้ ตนไม่ทราบรายละเอียดของการเยียวยาด้านอื่นๆ เพราะตนอยู่แต่ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้เข้ากรุงเทพ ซึ่งกรณีดังกล่าวนายพรอนันต์ ซึ่งเป็นพี่ชายด.ต.วิเชียร ได้เป็นผู้ดำเนินการเรื่องทั้งหมด
ด้านนางณัฐนันท์ กลั่นประเสริฐ ภรรยาของนายพรอนันต์ ในฐานะพี่สะใภ้ ด.ต.วิเชียร ยอมรับว่า ทางญาติได้รับเงินเยียวยาจากครอบครัวอยู่วิทยา 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างทนายของครอบครัวอยู่วิทยา และครอบครัวของด.ต.วิเชียร นอกจากนั้นได้ช่วยจัดงานศพให้ ส่วนรายละเอียดเยียวยาด้านอื่นๆ เช่น สร้างโบสถ์ ทำบุญนั้น ไม่รับทราบ แต่ทางญาติได้นำเงินสร้างศาลาวัดที่ต่างจังหวัด ส่วนเป็นจังหวัดใดนั้น ไม่ขอเปิดเผย แต่ได้ระบุอุทิศกุศลนั้นให้กับด.ต.วิเชียร พร้อมทั้งบิดาและมารดาของด.ต.วิเชียร
ขณะนี้นายพรอนันต์ อยู่ระหว่างการรักษาอาการของเส้นเลือด ตนจึงไม่ต้องการให้รับรู้รายละเอียดใดๆ เพราะไม่ต้องการให้มีภาวะเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อความดันและเป็นอันตรายได้ อีกทั้งการต่อสู้คดีนี้ คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอัยการและกระบวนการยุติธรรม เพราะครอบครัวของตน จะไม่ฟ้องร้องอะไร เพราะต้องทำงาน ปล่อยให้คนตายได้ตายอย่างสงบ
"ดิฉันไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ เพราะตามกฎหมายไม่ใช่ทายาท หรือผู้สืบสันดาน จึงหมดสิทธิ์ฟ้องร้อง อีกทั้งเคยทำสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพิ่มเติมอีก"นางณัฐนันท์ กล่าว
ปธ.ก.อ.เผย"เนตร"ลาออกสอบวินัยไม่ได้
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) กล่าวถึง การดำเนินการทางวินัยกับนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด (รอง อสส.) ซึ่งลงนามคำสั่งเด็ดขาดสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหาขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต ภายหลังปรากฏข่าวว่านายเนตร ยื่นหนังสือลาออก ว่า ต้องไปดู พ.ร.บ.ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 58 บัญญัติในเรื่องการลาออกว่าหากอัยการจะลาออกต้องให้อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งอนุญาต แล้วให้ถือว่าพ้นจากตำแหน่ง แต่หากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น เพื่อประโยชน์แก่ราชการ จะยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันขอลาออกก็ได้
“กรณีนี้ต้องไปดูว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งอย่างไร อนุญาตหรือยับยั้งใบลาออกหรือไม่ หากมีคำสั่งอนุญาตให้นายเนตรลาออก จะไม่สามารถที่จะดำเนินการสอบวินัยได้ เพราะนายเนตรลาออกก่อนที่จะมีการเริ่มต้นกระบวนการสอบวินัย แต่ถ้ามีการเริ่มกระบวนการทางวินัยแล้วข้าราชการลาออกทีหลัง แบบนี้ถึงสอบวินัยได้ต่อ ส่วนกรณีการลาออกแบบนี้จะลอยตัวหรือไม่นั้น ต้องอย่าลืมว่ายังมีเรื่องคดีอาญาที่น่ากลัวกว่าการสอบวินัย” นายอรรถพล กล่าว
ลุ้นที่ประชุม ก.อ. พิจารณา 'ปรเมศวร์' เมาขับชนหนี
รายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถประมาทอันเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่อนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดแล้วนั้น ขณะนี้ยังไม่ปรากฎว่า ขณะนี้อัยการสูงสุดเซ็นคำสั่งอนุญาตหนังสือลาออกของนายเนตร สืบเนื่องจากหากอสส.มีคำสั่งอนุญาตออกมาแล้ว จะต้องแจ้งเรื่องไปยังสำนักงาน ก.อ. เพราะจะต้องมีการพิจารณาในการปรับคิวขยับขึ้นตามตำแหน่งที่ว่างของนายเนตรดังกล่าว
ส่วนกรณีที่ปรากฎข่าว นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ก่อเหตุขับรถยนต์นิสสันทะเบียน 7 กส 2300 กรุงเทพฯเฉี่ยวชนจยย.คาวาซากิรุ่นเคอาร์สีเขียว (ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน) มีนายธรรมรัตน์ ทองทวีเป็นผู้ขับขี่และจยย.ฮอนด้ารุ่นเวฟ 125 ไอสีแดงดำทะเบียน 8 กร 6848 กรุงเทพฯ มีนายธันณเรศ ร้อยกรอง อายุ 21 ปี เป็นผู้ขับขี่เป็นเหตุให้นายธรรมรัตน์ ได้รับบาดเจ็บ และจยย.ได้รับความเสียหาย โดยไม่หยุดลงมาช่วยเหลือ
ก่อนจะถูกติดตามตัวและแจ้งข้อหาตามความผิด ฐานความผิดขับขี่รถขณะเมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ, ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน, ขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนีและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ นั้น เรื่องดังกล่าวต้องดูในวันที่ 18 ส.ค.63 ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) นายวิเชียร สุดรุ่ง อธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการในฐานะเลขานุการ ก.อ. หรือก.อ.คนอื่น จะหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณากันหรือไม่ หรือนายปรเมศวร์ ซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการอัยการ สามารถที่จะรายงานเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ก.อ. ด้วยตนเอง
ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดระเบียบกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ 826/2482 ลงวันที่ 2 พ.ค.2482 ลงนามโดยนาย ดิเรก ชัยนาม เรื่องข้าราชการต้องหาในคดีอาญาหรือคดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นระเบียบถือปฏิบัติต่อกันมานาน และยังไม่แก้ไขมีสภาพใช้บังคับอยู่ โดยหนังสือดังกล่าวระบุให้ กระทรวงทบวงกรมต่างๆ แจ้งให้ข้าราชการประจำการและข้าราชการบำนาญทราบว่า ถ้าผู้ใด ต้องหาในคดีอาญาหรือแพ่งหรือคดีล้มละลาย ให้รายงานให้เจ้ากระทรวง ทบวง กรมในสังกัดทราบโดยด่วนทั้งนี้เพื่อเจ้ากระทรวง ทบวง กรมจะได้ทราบความเป็นไปของข้าราชการในสังกัดจึงขอยืนยันมาขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
“กรณีอย่างนี้จึงต้องไปดูว่านายปรเมศวร์ได้กระทำตามระเบียบที่ว่านี้แล้วหรือยัง” แหล่งข่าวระบุ
วานนี้ (12ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึง การรายงานผลสรุปการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของคณะกรรมการชุด นายวิชา มหาคุณ โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ก็เสนอมาเป็นระยะๆ”
ด้านนายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยา กล่าวว่า ครอบครัวของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ได้รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสน.ทองหล่อ ที่เสียชีวิต ด้วยการเยียวยาเป็นเงิน 3 ล้านบาท ผ่านนายพรอนันต์ กลั่นประเสริฐ พี่ชายของด.ต.วิเชียร นอกจากนั้นยังจัดพิธีศพให้เป็นมูลค่า 5 แสนบาท, ชดใช้ค่าวิทยุสื่อสารของตำรวจที่สูญหาย และซ่อมรถจักรยานยนต์ตำรวจให้ รวมถึงได้ทำตามความประสงค์ของด.ต.วิเชียร ก่อนเสียชีวิต ที่ต้องการทำบุญบูรณะ และสร้างอุโบสถโดยทางครอบครัวอยู่วิทยาได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่ วัดศรีบุญเรือง จ.สกลนคร มูลค่า 8 ล้านบาท เพื่ออุทิศให้ด.ต.วิเชียร ที่เสียชีวิต และร่วมบริจาคเงินให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆด้วย
นายสมัคร กล่าวว่า การเยียวยาทั้งตัวเงินและจิตใจนั้น ครอบครัวด.ต.วิเชียร พอใจ เพราะนายพรอนันต์ เคยเขียนจดหมายขอบคุณครอบครัวนายวรยุทธ ที่ช่วยจัดการงานศพ และช่วยเหลือญาติๆของด.ต.วิเชียร พร้อมระบุว่าเหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้น ไม่ติดใจเอาความ พร้อมอโหสิกรรมให้กับนายวรยุทธ และฝากเตือนให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
"กระแสข่าวที่โจมตีฝั่งนายบอสนั้น คือการฟังความข้างเดียว และได้ร้บข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง หากทำใจเป็นกลางและพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น ด.ต.วิเชียร ขับรถตัดหน้ารถกระบะ จากเลนซ้ายสุดไปเลนที่ 3 ทำให้เกิดการชนกันในเลนขวาสุด โดยเป็นเหตุสุดวิสัย และสามารถยกฟ้องได้ ดังนั้นเมื่อคนคิดว่าชนแล้วต้องผิด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้คือไม่ใช่ เราใช้ช่องทางตามกฎหมายในการร้องขอความเป็นธรรม คุณบอสเขาไปรายงานตัวตามนัดทุกครั้ง และเมื่อเขาไปต่างประเทศ คุณออกหมายจับ และถอนพาสปอร์ตเขาแบบนี้เขาจะกลับเข้าประเทศได้อย่างไร"
นายสมัคร กล่าวด้วยว่า ในการต่อสู้คดีต้องทำทุกวิถีทาง และสู้คดีทุกขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นสอบสวนและอัยการ เพราะหากไปต่อสู้ในชั้นศาล แล้วศาลระบุว่าทำไมไม่ต่อสู้ในชั้นสอบสวน อาจเป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานได้ อย่างไรก็ตามกรณีที่อัยการวินิจฉัยเรื่องคดีว่า ไม่ผิด หรือตำรวจบอกว่าสำนวนนี้ไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของทนายหรือนายวรยุทธ เพราะเป็นหน้าที่ที่อัยการจะวินิจฉัย แต่หากอัยการบอกว่าผิด ต้องไปสู้กันต่อที่ศาล ดังนั้นตนขอให้ประชาชนเข้าใจข้อเท็จจริง และวางใจเป็นกลาง ไม่ใช่มองว่าเพราะเป็นลูกคนรวย แล้วรอดคดี
ด้านนายใหม่ กลั่นประเสริฐ อดีตกำนัน ต.เกาะหลัก ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของด.ต.วิเชียร วัย75 ปี ให้สัมภาษณ์ว่า ตนทราบว่าหลังจากด.ต.วิเชียร เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยา 3 ล้านบาท และแบ่งให้ญาติทั้ง 4 คนๆ ละ 7 แสนบาท และภรรยา 2 แสนบาท นอกจากนั้นยังได้ทำหนังสือสัญญาว่า จะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายใดๆอีก ทั้งนี้ ตนไม่ทราบรายละเอียดของการเยียวยาด้านอื่นๆ เพราะตนอยู่แต่ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้เข้ากรุงเทพ ซึ่งกรณีดังกล่าวนายพรอนันต์ ซึ่งเป็นพี่ชายด.ต.วิเชียร ได้เป็นผู้ดำเนินการเรื่องทั้งหมด
ด้านนางณัฐนันท์ กลั่นประเสริฐ ภรรยาของนายพรอนันต์ ในฐานะพี่สะใภ้ ด.ต.วิเชียร ยอมรับว่า ทางญาติได้รับเงินเยียวยาจากครอบครัวอยู่วิทยา 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างทนายของครอบครัวอยู่วิทยา และครอบครัวของด.ต.วิเชียร นอกจากนั้นได้ช่วยจัดงานศพให้ ส่วนรายละเอียดเยียวยาด้านอื่นๆ เช่น สร้างโบสถ์ ทำบุญนั้น ไม่รับทราบ แต่ทางญาติได้นำเงินสร้างศาลาวัดที่ต่างจังหวัด ส่วนเป็นจังหวัดใดนั้น ไม่ขอเปิดเผย แต่ได้ระบุอุทิศกุศลนั้นให้กับด.ต.วิเชียร พร้อมทั้งบิดาและมารดาของด.ต.วิเชียร
ขณะนี้นายพรอนันต์ อยู่ระหว่างการรักษาอาการของเส้นเลือด ตนจึงไม่ต้องการให้รับรู้รายละเอียดใดๆ เพราะไม่ต้องการให้มีภาวะเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อความดันและเป็นอันตรายได้ อีกทั้งการต่อสู้คดีนี้ คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอัยการและกระบวนการยุติธรรม เพราะครอบครัวของตน จะไม่ฟ้องร้องอะไร เพราะต้องทำงาน ปล่อยให้คนตายได้ตายอย่างสงบ
"ดิฉันไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ เพราะตามกฎหมายไม่ใช่ทายาท หรือผู้สืบสันดาน จึงหมดสิทธิ์ฟ้องร้อง อีกทั้งเคยทำสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพิ่มเติมอีก"นางณัฐนันท์ กล่าว
ปธ.ก.อ.เผย"เนตร"ลาออกสอบวินัยไม่ได้
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) กล่าวถึง การดำเนินการทางวินัยกับนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด (รอง อสส.) ซึ่งลงนามคำสั่งเด็ดขาดสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหาขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต ภายหลังปรากฏข่าวว่านายเนตร ยื่นหนังสือลาออก ว่า ต้องไปดู พ.ร.บ.ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 58 บัญญัติในเรื่องการลาออกว่าหากอัยการจะลาออกต้องให้อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งอนุญาต แล้วให้ถือว่าพ้นจากตำแหน่ง แต่หากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น เพื่อประโยชน์แก่ราชการ จะยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันขอลาออกก็ได้
“กรณีนี้ต้องไปดูว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งอย่างไร อนุญาตหรือยับยั้งใบลาออกหรือไม่ หากมีคำสั่งอนุญาตให้นายเนตรลาออก จะไม่สามารถที่จะดำเนินการสอบวินัยได้ เพราะนายเนตรลาออกก่อนที่จะมีการเริ่มต้นกระบวนการสอบวินัย แต่ถ้ามีการเริ่มกระบวนการทางวินัยแล้วข้าราชการลาออกทีหลัง แบบนี้ถึงสอบวินัยได้ต่อ ส่วนกรณีการลาออกแบบนี้จะลอยตัวหรือไม่นั้น ต้องอย่าลืมว่ายังมีเรื่องคดีอาญาที่น่ากลัวกว่าการสอบวินัย” นายอรรถพล กล่าว
ลุ้นที่ประชุม ก.อ. พิจารณา 'ปรเมศวร์' เมาขับชนหนี
รายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถประมาทอันเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่อนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดแล้วนั้น ขณะนี้ยังไม่ปรากฎว่า ขณะนี้อัยการสูงสุดเซ็นคำสั่งอนุญาตหนังสือลาออกของนายเนตร สืบเนื่องจากหากอสส.มีคำสั่งอนุญาตออกมาแล้ว จะต้องแจ้งเรื่องไปยังสำนักงาน ก.อ. เพราะจะต้องมีการพิจารณาในการปรับคิวขยับขึ้นตามตำแหน่งที่ว่างของนายเนตรดังกล่าว
ส่วนกรณีที่ปรากฎข่าว นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ก่อเหตุขับรถยนต์นิสสันทะเบียน 7 กส 2300 กรุงเทพฯเฉี่ยวชนจยย.คาวาซากิรุ่นเคอาร์สีเขียว (ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน) มีนายธรรมรัตน์ ทองทวีเป็นผู้ขับขี่และจยย.ฮอนด้ารุ่นเวฟ 125 ไอสีแดงดำทะเบียน 8 กร 6848 กรุงเทพฯ มีนายธันณเรศ ร้อยกรอง อายุ 21 ปี เป็นผู้ขับขี่เป็นเหตุให้นายธรรมรัตน์ ได้รับบาดเจ็บ และจยย.ได้รับความเสียหาย โดยไม่หยุดลงมาช่วยเหลือ
ก่อนจะถูกติดตามตัวและแจ้งข้อหาตามความผิด ฐานความผิดขับขี่รถขณะเมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ, ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน, ขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนีและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ นั้น เรื่องดังกล่าวต้องดูในวันที่ 18 ส.ค.63 ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) นายวิเชียร สุดรุ่ง อธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการในฐานะเลขานุการ ก.อ. หรือก.อ.คนอื่น จะหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณากันหรือไม่ หรือนายปรเมศวร์ ซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการอัยการ สามารถที่จะรายงานเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ก.อ. ด้วยตนเอง
ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดระเบียบกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ 826/2482 ลงวันที่ 2 พ.ค.2482 ลงนามโดยนาย ดิเรก ชัยนาม เรื่องข้าราชการต้องหาในคดีอาญาหรือคดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นระเบียบถือปฏิบัติต่อกันมานาน และยังไม่แก้ไขมีสภาพใช้บังคับอยู่ โดยหนังสือดังกล่าวระบุให้ กระทรวงทบวงกรมต่างๆ แจ้งให้ข้าราชการประจำการและข้าราชการบำนาญทราบว่า ถ้าผู้ใด ต้องหาในคดีอาญาหรือแพ่งหรือคดีล้มละลาย ให้รายงานให้เจ้ากระทรวง ทบวง กรมในสังกัดทราบโดยด่วนทั้งนี้เพื่อเจ้ากระทรวง ทบวง กรมจะได้ทราบความเป็นไปของข้าราชการในสังกัดจึงขอยืนยันมาขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
“กรณีอย่างนี้จึงต้องไปดูว่านายปรเมศวร์ได้กระทำตามระเบียบที่ว่านี้แล้วหรือยัง” แหล่งข่าวระบุ