ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยา เผยผ่านสื่อ ระบุ เยียวยาครอบครัว “กลั่นประเสริฐ” ทั้งเงินและจิตใจ สร้างอุโบสถมูลค่า 8 ล้าน ตามความประสงค์ “ดาบวิเชียร” ก่อนเสียชีวิต ด้าน ญาติ บอกไม่ติดใจเรื่องคดี พร้อมวอนขออยากให้ผู้ตายจากไปอย่างสงบ อ้าง"บอส"ไปรายงานตัวตามนัดทุกครั้ง พอไปต่างประเทศโดนหมายจับ-ถอนพาสปอร์ต เลยกลับมาไม่ได้
จากกรณีที่มีกระแสเรียกร้องให้ นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ซึ่งถูก นายวรยุทธ ขับรถยนต์ชนจนเสียชีวิต เมื่อปี 2555 และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น
วันนี้ (12 ส.ค.) นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยา ให้สัมภาษณ์ว่า ครอบครัวของนายวรยุทธ ได้รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของ ด.ต.วิเชียร ด้วยการเยียวยาเป็นมูลค่าเงิน 3 ล้านบาท ผ่านนายพรอนันต์ กลั่นประเสริฐ พี่ชายของ ด.ต.วิเชียร นอกจากนั้น ยังจัดพิธีศพให้เป็นมูลค่า 5 แสนบาท, ชดใช้ค่าวิทยุสื่อสารของตำรวจที่สูญหาย และซ่อมรถจักรยานยนต์ตำรวจให้ รวมถึงได้ทำตามความประสงค์ของ ด.ต.วิเชียร ก่อนเสียชีวิต ที่ต้องการทำบุญบูรณะและสร้างอุโบสถ โดยทางครอบครัวอยู่วิทยาได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่วัดศรีบุญเรือง จ.สกลนคร มูลค่า 8 ล้านบาท เพื่ออุทิศให้ดาบตำรวจวิเชียร ที่เสียชีวิต และร่วมบริจาคเงินให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยแจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนหรือสาธารณะ และการเยียวยาเป็นตัวเงินและจิตใจดังกล่าวไม่เคยหวังผลทางคดี
นายสมัคร กล่าวด้วยว่า การเยียวยาทั้งตัวเงินและจิตใจนั้นครอบครัว ด.ต.วิเชียร พอใจ เพราะนายพรอนันต์เคยเขียนจดหมายขอบคุณครอบครัวนายวรยุทธ ที่ช่วยจัดการงานศพ และช่วยเหลือญาติๆ ของ ด.ต.วิเชียร พร้อมระบุว่า เหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ติดใจเอาความ พร้อมอโหสิกรรมให้กับนายวรยุทธ และฝากเตือนให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
“กระแสข่าวที่โจมตีฝั่งนายบอสนั้น คือ การฟังความข้างเดียวและได้ร้บข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง หากทำใจเป็นกลางและพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น ด.ต.วิเชียร ขับรถตัดหน้ารถกะบะจากเลนซ้ายสุดไปเลนที่ 3 ทำให้เกิดการชนกันในเลนขวาสุด โดยเป็นเหตุสุดวิสัย และสามารถยกฟ้องได้ ดังนั้น เมื่อคนคิดว่าชนแล้วต้องผิด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้คือไม่ใช่ เราใช้ช่องทางตามกฎหมายในการร้องขอความเป็นธรรม คุณบอสเขาไปรายงานตัวตามนัดทุกครั้ง และเมื่อเขาไปต่างประเทศ คุณออกหมายจับและถอนพาสปอร์ตเขา แบบนี้เขาจะกลับเข้าประเทศได้อย่างไร” นายสมัคร กล่าว
ทนายความครอบครัวอยู่วิทยา กล่าวด้วยว่า ในการต่อสู้คดีต้องทำทุกวิถีทางและสู้คดีทุกขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นสอบสวนและอัยการ เพราะหากไปต่อสู้ในชั้นศาลแล้วศาลระบุว่าทำไมไม่ต่อสู้ในชั้นสอบสวนอาจเป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่อัยการวินิจฉัยเรื่องคดีว่าไม่ผิด หรือตำรวจบอกว่าสำนวนนี้ไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของทนาย หรือนายวรยุทธ เพราะเป็นหน้าที่ที่อัยการจะวินิจฉัย แต่หากอัยการบอกว่าผิดต้องไปสู้กันต่อที่ศาล ดังนั้น ตนขอวิงวอนให้ประชาชนเข้าใจข้อเท็จจริง และวางใจเป็นกลาง ไม่ใช่มองว่าเพราะเป็นลูกคนรวยแล้วรอดคดี
ขณะที่ นายใหม่ กลั่นประเสริฐ อดีตกำนันตำบลเกาะหลัก ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ ด.ต.วิเชียร วัย 75 ปี ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ตนทราบว่า หลังจาก ด.ต.วิเชียร เสียชีวิต ได้รับเงินเยียวยาแล้ว จำนวน 3 ล้านบาท และแบ่งให้ญาติทั้ง 4 คนๆ ละ 7 แสนบาท และภรรยาจำนวน 2 แสนบาท นอกจากนั้น ยังได้ทำหนังสือสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายใดๆ อีก ทั้งนี้ ตนไม่ทราบรายละเอียดของการเยียวยาด้านอื่นๆ เพราะตนอยู่แต่ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ ซึ่งกรณีดังกล่าว นายพรอนันต์ ซึ่งเป็นพี่ชายได้เป็นผู้ดำเนินการเรื่องทั้งหมด
“ผมไม่มีความรู้ทางกฎหมายและไม่ได้ยุ่งเกี่ยว แต่ทราบว่าเมื่อได้รับการเยียวยาครอบครัวก็พอใจ ส่วนคดีความนั้นทางญาติไม่ติดใจอะไร เมื่อให้มาเท่านี้ก็พอใจ เพราะตระกูลเราไม่ได้ร่ำรวย ส่วนการฟ้องร้องหรือเรียกร้องอะไรนั้นไม่อยากให้ต่อความยาวสาวความยืดกันอีกต่อไปแล้ว เพราะอยากให้ผู้เสียชีวิตได้จากไปอย่างสงบ” นายใหม่ กล่าว
ทางด้าน นางณัฐนันท์ กลั่นประเสริฐ ภรรยาของ นายพรอนันต์ กลั่นประเสริฐ และในฐานะพี่สะใภ้ ด.ต.วิเชียร ให้สัมภาษณ์ยอมรับต่อการได้รับเงินเยียวยาจากครอบครัวอยู่วิทยา จำนวน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างทนายของครอบครัวอยู่วิทยาและครอบครัวของ ด.ต.วิเชียร นอกจากนั้น ได้ช่วยจัดงานศพให้ ส่วนรายละเอียดเยียวยาด้านอื่นๆ เช่น สร้างโบสถ์ ทำบุญนั้น ไม่รับทราบ แต่ทางญาติได้นำเงินสร้างศาลาวัดที่ต่างจังหวัด ส่วนเป็นจังหวัดใดนั้นไม่ขอเปิดเผย แต่ได้ระบุอุทิศกุศลนั้นให้กับ ด.ต.วิเชียร พร้อมทั้งบิดาและมารดาของ ด.ต.วิเชียร
“ขณะนี้นายพรอนันต์อยู่ระหว่างการรักษาอาการของเส้นเลือด ตนจึงไม่ต้องการให้รับรู้รายละเอียดใดๆ เพราะไม่ต้องการให้มีภาวะเครียดซึ่งจะส่งผลต่อความดันและเป็นอันตรายได้ อีกทั้งการต่อสู้คดีนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอัยการและกระบวนการยุติธรรม เพราะครอบครัวของตนจะไม่ฟ้องร้องอะไร เพราะต้องทำงาน ปล่อยให้คนตายได้ตายอย่างสงบ ดิฉันไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ เพราะตามกฎหมายไม่ใช่ทายาทหรือผู้สืบสันดาน จึงหมดสิทธิ์ฟ้องร้อง อีกทั้งเคยทำสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพิ่มเติมอีก”