ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวของ “3 นายตำรวจคนดัง” อันประกอบด้วย “บิ๊กต้อย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บิ๊กช้าง-พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) ที่ปรากฏขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ย กันต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา” และมี “นัยสำคัญ” ยิ่ง
กรณีของ “บิ๊กช้าง” อาจไม่มีอะไรมากนัก เพราะดูทรงแล้วน่าจะเป็นการกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ตามคำสั่งของ “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็เพื่อรอวันเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนปีนี้ แต่กรณีของ “บิ๊กต้อยและบิ๊กโจ๊ก” ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะการกลับมาของทั้งสองคนมีผลต่อโครงสร้างและอนาคตของ สตช.
ชื่อของบิ๊กต้อยนั้นกลับมาเป็นข่าวใหญ่ข่าวโตเมื่อ “ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีลงนามในคำสั่ง ให้กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ดังเดิมหลังก่อนหน้านี้มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
ในครั้งกระโน้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ยอมรับว่า เป็นผู้เสนอให้มีการโยกย้ายพล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี จากประเด็น “การปล่อยคลิปเสียงสนทนา” ระหว่างตนเองกับพล.ต.อ.วิระชัย เนื่องจากเป็นปัญหาต่อเอกภาพขององค์กร โดยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีมติเสนอโยกย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หากอยู่เกรงจะเป็นอุปสรรคปัญหา
ที่ต้องจับตาบิ๊กต้อย-พล.ต.อ.วิระชัย เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า เขามี “อาวุโสอันดับ 1” ในการคั่วเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แทน “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผู้บัญชาการคนปัจจุบันที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนปี 2563 นี้ ร่วมกับแคนดิเดตที่น่าสนใจรายอื่นๆ ประกอบด้วย พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. (นรต.36) เกษียณปี 2565, พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. (นรต.38) เกษียณปี 2564, พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจแห่งชาติ (นรต.37) เกษียณปี 2564 และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. (นรต.36) เกษียณปี 2565
ส่วน “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ปรากฏตัวในระยะเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อเดินทางไปที่วัดบางกระดาน จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม เพื่อประกอบพิธีเสริมดวงโชคชะตาต่อพระอุปคุต พระอรหันต์แห่งโชคลาภ ถวายเครื่องสักการะกราบไหว้ บายศรี ดอกไม้ ธูปเทียน พวงมาลัย และผลไม้ โดยมี พระครูเกษมวาปีพิสัย เจ้าอาวาสวัดบึงกระดาน และรองเจ้าคณะอำเภอเมืองพิษณุโลกเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ประกอบพิธีสวดเจริญพระมงคลคาถา
จากนั้น ก็ไปที่บริเวณพระตำนักภักดีนเรศ ซึ่งอยู่ในวัดบึงกระดาน ภายในมี พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรถ และพระสุพรรณกัลยา ... “โจ๊ก” ชักดาบเหล็กน้ำพี้ ออกจากฝักเล็กน้อย พร้อมกล่าวคำบูชาถวาย ขอพึ่งบารมีของทั้ง 3 พระองค์ ให้ได้กลับมาเป็นตำรวจอีกครั้ง
ไฮไลต์ช่วงปิดท้ายก่อนปล่อยปลา ปล่อยเต่า “โจ๊ก” อธิษฐานว่า ... “ขอปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปลาดุก ปลาช่อน เพื่อช่วยชีวิตให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนไปสู่ธรรมชาติอย่างมีความสุขและปลอดภัย และขอให้นำสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตของข้าพเจ้า ทั้งชัยชนะ ฆ่าศัตรูหมู่มาร และขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จสมหวัง ได้กลับเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปโดยเร็ว ตั้งแต่บัดนี้เทอญ”
ความเคลื่อนไหวของ “โจ๊ก ท่ายาก” พร้อมคำอธิษฐานเสียงดังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า เป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่หวังผลสั่นสะเทือนกรมปทุมวัน เสมือนหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า “ข้าจะกลับมาเป็นใหญ่” อีกครั้งหลังการเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กแป๊ะ”
ยิ่งเมื่อ พลตำรวจเอกวิระชัย come back ด้วยแล้ว ยิ่งเสมือนว่าความหวังของบิ๊กโจ๊กจะเรืองรองมากขึ้น เพราะรู้กันอยู่ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นแนบแน่นประเภทมองตาก็รู้ใจเลยทีเดียว
ก่อนหน้านั้น “นายพลหนุ่มพุ่งเร็ว” คนนี้ ถือว่าเป็นนายตำรวจที่คอยประสานงานใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ช่วงนั้นกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมกลไกในแวดวงสีกากี ...โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเช็กบิล “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบ ตามนโยบายรัฐบาล คสช. “โจ๊ก” ยังจัดอีเวนต์ ให้ “บิ๊กป้อม” ออกเดินสายคืนโฉนดให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้ โดยติดตามเป็นเงา
แต่หลังจาก “โจ๊ก” ถูกย้ายไปประจำสำนักนายกฯ บทบาทหน้าที่ ตลอดจนภาพข่าวการปฏิบัติงานก็หายไปจากหน้าสื่อ ... จะมีก็แต่ข่าวเดินสายทำบุญ บนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สะเดาะเคราะห์ เสริมชะตาบารมี ขอให้ได้กลับไปมีอำนาจในรั้วสีกากีอีกครั้ง
เท่าที่เห็นเป็นข่าว “นายพลหวานเจี๊ยบ” ไปหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช วัดเจดีย์ไอ้ไข่ อ.สิชล ศาลพระเจ้าตากสิน วัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรี และ วัดภูเขาเหล็ก อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ฯลฯ
เพียงแต่เที่ยวนี้ที่วัดบางกระดาน “บิ๊กโจ๊ก” อธิษฐานดังเป็นพิเศษ ซึ่งไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า ต้องการให้เป็น “ข่าว” จนถูกมองว่า เขามั่นใจว่าจะได้กลับมาจริงๆ
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการกลับมาเป็นตำรวจ เพราะดูจากคำสั่งของ “นายกฯ ลุงตู่” ที่ให้ย้ายไปนั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ต้องถือว่ามีความรุนแรงไม่น้อย แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่า เขาเป็นเด็กในสังกัดของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณก็ตาม ไม่เช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563 เรื่อง ให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการหนังสือเตือนเมื่อวันที่ 24 ม.ค.2563
สาระสำคัญของหนังสือที่ “ลุงตู่” ลงนามก็คือ “เตือน บิ๊กโจ๊ก“ มิให้ “กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” และ “หากมีกรณีไม่รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป”
ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ “ลุงตู่” ไม่เคยเตือนใครอย่างเป็นทางการในลักษณะนี้มาก่อน
แม้จะไม่ได้บอกต้นสายปลายเหตุว่ามาจากเรื่องอะไร แต่ “วิญญูชน” รับทราบดีว่า เป็นผลมาจาก “ปฏิบัติการโจ๊กท่ายาก” หรือ “คดียิงรถ” ที่เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจเล่นงาน “บิ๊กแป๊ะ” โดยมีเดิมพันคือ “เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” และการหวนกลับคืนสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องพบกับ “ความพ่ายแพ้” อย่างหมดรูป
ทว่า ลึกไปกว่านั้นคือ ไม่ใช่แค่ “บิ๊กตู่” และกรณี “ท่ายาก” เท่านั้น หากแต่ยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาสำหรับนายพลชื่อดังรายนี้ที่ทำให้เข้าต้องพ้นจากความเป็นตำรวจจนถึงทุกวันนี้
หลัง “ลุงตู่” มีคำสั่งไม่นานนัก “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งน่าจะรู้ตัวดีว่ามองหาอนาคตในชีวิตราชการไม่เจอได้ตัดสินใจยื่นใบลาเพื่อไปอุปสมบทในวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 9 วัน โดยเดินทางไปเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา
คราวนี้ก็เช่นกัน เพราะทันทีที่ปรากฏเป็นข่าว “พี่ป้อม” ของ “น้องโจ๊ก” ที่เคยออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์ ก็ถูกไล่บี้สัมภาษณ์อย่างหนักถึงความเป็นไปได้ในการกลับมา สตช.ในเก้าอี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) หลังพ้นจากความเป็นข้าราชการตำรวจไปเป็นข้าราชการพลเรือนของบิ๊กโจ๊ก
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมไม่รู้ๆ”
เมื่อถามว่า ข้าราชการตำรวจที่ถูกคำสั่งย้ายขาดจากหน่วยเดิม จะสามารถกลับมาสังกัดเดิมได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า “ถ้ามีตำแหน่งก็มาได้ แต่นี่มันไม่มีตำแหน่งน่ะสิ”
เหมือนจะมี “ความหวัง” แต่บอกได้เลยว่า พี่ป้อมน่าจะไม่อยากเข้าไปข้องแวะกับ “น้องโจ๊ก” เสียแล้ว
และแน่นอนว่า สถานการณ์ของ พล.ต.อ.วิระชัยก็ไม่แตกต่างกัน โดยหลังจากบิ๊กตู่มีคำสั่งย้ายกลับเข้าทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในตำแหน่ง รองผบ.ตร. เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ. จักรทิพย์ ได้สั่งกองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.วิระชัย ฐานผิด พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม กรณีที่ พล.ต.อ.วิระชัย เปิดเผยคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.อ.วิระชัย เกี่ยวกับคดียิงรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามต่อด้วยคำสั่ง ตร.ที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค. 2563 สำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย ทันที
เพราะฉะนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เส้นทางชีวิตของ พล.ต.อ.วิระชัยและพล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะลงเอยอย่างไร จะไม่มีอะไรในกอไผ่ และไม่มีทางเป็น “ใหญ่” ในสตช.จริงหรือ แต่ที่แน่ๆ คือบอกได้คำเดียวว่า มหากาพย์เรื่องนี้ไม่จบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน