xs
xsm
sm
md
lg

พยานเอก“บอส”ดับ ซิ่งจยย.ล้ม-ญาติดาบปัดรับ30ล. อึ้ง!โคเคนรักษาฟัน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายกฯ สั่งย้อนดูต้นทางปมสั่งไม่ฟ้อง "บอส วรยุทธ" พบปัญหาตรงไหนต้องแก้ทั้งระบบ “จักรทิพย์” ลั่นไม่เคยแทรกแซงคดี "บอส อยู่วิทยา" โนคอมเมนต์เรื่องสั่งคดี อึ้ง ตร.แจง กมธ.สภาฯ อ้าง “บอส” หนี เอาผิดฐานเมาแล้วขับไม่ได้ ชี้โคเคนมาจากยารักษาฟัน

วานนี้ (30 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ที่ขับรถหรูชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 ท่ามกลางกระแสสิพากษ์วิจารณ์เชิงลบต่อกระบวนการยุติธรรมว่า เรื่องคดีวันนี้ขอให้ใจเย็นๆ ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการทั้ง 3 คณะ และมีการกำหนดเวลาในการพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอัยการ, ศาล หรือของ สตช. ดังนั้นต้องดูความเป็นไปเป็นมาของกฎหมายหลายตัว ส่วนตนเองก็ได้ตั้งคณะกรรมการที่มี นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานไปแล้ว และยังมีกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายร่วมอยู่ด้วย

“ต้องย้อนกลับไปดูต้นทางว่ามีปัญหาตรงไหน ซึ่งต้องไปแก้ทั้งระบบด้วย เพื่อให้เกิดความชอบธรรมให้มากที่สุด และเพื่อให้ได้รับการยอมรับและความเชื่อมั่น ผมก็ได้ย้ำกับตำรวจว่าเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นการทำคดีและจัดทำสำนวนต้องรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อไม่ให้การกระทำความผิดต่างๆ ได้รับการละเว้น ซึ่งมีหลายกลไกด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ผบ.ตร.แจงเหตุไม่เห็นแย้งอัยการ


ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงข้อสังเกตที่ว่า ผบ.ตร.ไม่ใช้อำนาจแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการในคดีนายวรยุทธว่า ยืนยันไม่เคยรับทราบ ไม่เคยผ่านตาเลย เพราะตั้งแต่เป็น ผบ.ตร. มา 5 ปี แบ่งงานให้รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร. ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบด้านกฎหมาย ดูเรื่องการทำความเห็นต่ออัยการ และเรื่องนี้มีผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องผ่านตน ตอนนี้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว ให้รอผลการพิจารณา โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีการประชุมทุกวันเวลา 10.00 น. และให้อิสระในการพิจารณาเต็มที่ ไม่กำชับ หรือสั่งการอะไร แค่ให้กรอบเวลาทำงานให้เร็วเพียง 15 วัน เพราะเป็นคดีที่สังคมสนใจ

“5 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยสั่งคดีเลย ไม่เคยเซ็นเห็นแย้ง หรือเห็นพ้องคดีเลย ยอมรับไม่อายว่าแม้เป็น ผบ.ตร. แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ไม่รู้พระราชบัญญัติทุกมาตรา สู้นักกฎหมายจริงๆ ไม่ได้ เรื่องการสั่งคดีนี้ผมจึงไม่ขอให้ความเห็น ในส่วนของตำรวจคนที่พิจารณาคดีแบบนี้มีผู้เชี่ยวชาญ จบเนติบัณฑิต ซึ่งคนเหล่านี้มีความรู้ใครก็แทรกแซงไม่ได้ ผมไปสั่ง ไปเถียงเรื่องข้อกฎหมายไม่ได้หรอก เรื่องนี้สังคมคิดเห็นอย่างไรผมห้ามความคิดไม่ได้ และเรื่องสั่งคดีผมไม่ขอคอมเม้นต์” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

หนีเข้าบ้านพ้นเมาแล้วขับ


อีกด้าน ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร มี นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธาน กมธ. ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยเชิญ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี พร้อมคณะมาให้ข้อมูลต่อ กมธ. กรณีไม่แย้งคำสั่งอัยการที่ไม่ฟ้อง นายวรยุทธ

ภายหลังการประชุม นายนิโรธ เปิดเผยว่า กมธ.สอบถามตำรวจหลายประเด็น โดยกรณีไม่สามารถเอาผิดข้อหาเมาแล้วขับนายวรยุทธ ได้รับคำชี้แจงว่า เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่สามารถตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุได้ทันที เพราะผู้ต้องหาขับรถหลบหนีเข้าบ้าน ตำรวจทำได้เพียงล้อมบ้านไว้ กว่าจะได้หมายศาลไปตรวจค้นบ้าน นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจแอลกอฮอล์ ก็เป็นเวลา 16.00 น. ทิ้งเวลาจากตอนเกิดเหตุถึง 10 ชั่วโมง ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า การจะนำคดีตรวจสอบแอลกอฮอล์สู่ศาลได้ ต้องตรวจวัดทันทีหลังเกิดเหตุ ทำให้ไม่สามารถเอาผิดกรณีนี้ได้

เปิดเหตุลาก 2 พยานใหม่


นายนิโรธ กล่าวต่อว่า เรื่องความเร็วรถยนต์นั้น ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีหน่วยงานที่ตรวจสอบความเร็ว 3 หน่วย ได้ผลแตกต่างกัน และมี 2 หน่วย ยอมรับว่าคำนวณความเร็วผิดพลาด อัยการจึงเห็นว่า ควรหาประจักษ์พยานเพิ่มเติม เป็นเหตุให้มีพยานเพิ่มอีก 2 ปาก คือ นายจารุชาติ มาดทอง เป็นพยานที่อยู่ในสำนวนแต่แรกแล้ว และยืนยันว่า ผู้ต้องหาขับรถไม่น่าจะเร็ว และ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร เป็นพยานที่อัยการให้ตำรวจไปสอบเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาขอให้ตำรวจสอบพยานรายนี้ แต่ตำรวจบอกว่า ทำสำนวนเสร็จแล้ว ถ้าจะให้สอบเพิ่ม ให้ไปร้องขอความเป็นธรรมจากอัยการ เพื่อให้มีคำสั่งสอบพยานเพิ่มเติม ในที่สุดอัยการสั่งให้สอบพยานรายนี้เพิ่มเติม จนนำไปสู่ประเด็นข่าวอย่างที่ออกมา

“กมธ.มองว่า คดีนี้ ไม่น่าจะถูกต้อง ไม่น่าจะชอบธรรม จึงฝากข้อสังเกตไปยังตำรวจให้ตรวจสอบรายละเอียดที่ขาดตกบกพร่องอยู่” นายนิโรธ กล่าว

อ้างสารโคเคนรักษาฟัน


ขณะที่ นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย โฆษก กมธ.ตำรวจ กล่าวเสริมในประเด็นสารเสพติดโคเคนที่พบในตัวผู้ต้องหาว่า พนักงานสอบสวนให้ข้อมูลว่า ได้รับการยืนยันจาก หมอฟันว่าสารที่ตรวจพบในร่างกายนายวรยุทธเป็นยาที่ให้ผู้ต้องหาในการรักษาฟันที่มีส่วนผสมของสารโคเคนอยู่ ทำให้ไม่สั่งฟ้องเรื่องสารเสพติด ส่วนการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ต้องหา หลังจากเกิดเหตุไปแล้ว 10ชั่วโมง ก็ยังพบปริมาณแอลกอฮอล์ 60 มิลลิกรัม แต่ผู้ต้องหายืนยัน เป็นการดื่มหลังเกิดเหตุ เพราะเครียด ไม่ได้ดื่มสุราระหว่างขับรถ

“การรื้อฟื้นคดีใหม่นั้น กมธ.ทราบว่า ตำรวจที่เสียชีวิตมีภรรยาแต่หย่า ไม่มีบุตร มีเพียงญาติพี่น้อง 5 คน ตอนแรกมีการตกลงจะให้ค่าเยียวยา 6 ล้านบาท แต่มีการต่อรองเหลือ 3 ล้านบาท ต้องไปดูว่า มีการถูกขู่บังคับไม่ให้ติดใจเอาความหรือไม่ กมธ.จะไปพบญาติ เพื่อสอบถามว่า ยังติดใจในคดีหรือไม่ พร้อมทั้งจะบอกถึงช่องทางการรื้อฟื้นคดีได้ ถ้ามีหลักฐานใหม่” นายณัฏฐ์ชนน ระบุ

“พยานเอก”ดับกะทันหัน

วันเดียวกัน มีรายงานข่าวจาก จ.เชียงใหม่ ว่า นายจารุชาติ มาดทอง อายุ 40 ปี พยานปากเอก ที่เป็นผู้ให้การจนพลิกคดีของนายวรยุทธ ได้ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 29 ก.ค.63

ก่อนจะมีรายงานยืนยันว่า เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 30 ก.ค. ได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกับรถจักรยานยนต์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชื่อ นายจารุชาติ มาดทอง อายุ 40 ปี เจ้าหน้าที่กู้ภัยทำการปั๊มหัวใจช่วยฟื้นคืนชีพ ก่อนที่จะรีบนำตัวส่ง รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ แต่ผู้บาดเจ็บอาการสาหัส เสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นศพได้ถูกนำไปที่หน่วยรักษาศพ เพื่อทำการชันสูตร และในช่วงบ่าย ญาติของนายจารุชาติ ได้เดินทางมาติดต่อขอรับศพออกจาก รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อนำศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิดใน ต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย อย่างไรก็ตาม ทั้งพ่อและแม่ของนายจารุชาติไม่ได้เดินทางมารับศพด้วย

สำหรับเรื่องที่นายจารุชาติเป็นพยานปากเอกในคดีดังนั้น มารดาของนายจารุชาติ เปิดเผยที่ จ.เชียงรายว่า เพิ่งจะทราบว่าลูกชายเข้าไปเป็นพยานในคดีนี้เมื่อคืนวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมานี้เอง เพราะเห็นชื่อในข่าว แต่ก็มีเพียงชื่อไม่มีนามสกุล ก็ไม่ได้สนใจและคิดว่าไม่น่าจะเป็นลูกฉัน กระทั่งเกิดอุบัติเหตุที่ จ.เชียงใหม่ และมีคนแจ้งให้ทราบว่าลูกชายเสียชีวิตแล้วและเป็นบุคคลเดียวกับที่มีชื่อเป็นพยานคดีดังกล่าวด้วย

ตร.ยัน “จารุชาติ-คู่กรณี” เมาทั้งคู่


ทางด้าน พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผู้กํากับการ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นคดีดังกล่าวเป็นคดีอุบัติเหตุจราจร จากหลักฐานภาพกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุพบว่า นายจารุชาติได้ขับขี่จักรยานยนต์ตามหลังคู่กรณีมาบนถนนห้วยแก้ว ขาเข้าเมือง จนกระทั่งขับขี่ถึงบริเวณสามแยกฟ้าธานี นายจารุชาติได้พยายามจะขับแซง แต่แซงไม่พ้น รถเกี่ยวกับจักรยานยนต์ของคู่กรณีทำให้จักรยานยนต์ของนายชูชาติแฉลบไปชนเกาะกลางถนน และนายจารุชาติหัวฟาดได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่คู่กรณีได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เจ้าหน้าที่นำตัวส่งรักษาที่ รพ.นครเชียงใหม่ แต่ปรากฏว่านายจารุชาติเสียชีวิตในเวลาต่อมา

“จากการตรวจสอบคู่กรณีทั้งสองคนพบว่าอยู่ในอาการมึนเมาและตรวจพบแอลกอฮอล์ในร่างกายทั้งคู่ ขณะเดียวกัน เพิ่งทราบว่านายจารุชาติเป็นพยานปากเอกในคดีสำคัญ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอุปสรรคในการทำงาน โดยจะเร่งคลี่คลายคดีและทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว ขณะนี้คู่กรณีที่ได้รับบาดเจ็บนั้นเบื้องต้นได้ออกจากโรงพยาบาลกลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้ว และในวันนี้ (31 ก.ค.) จะเชิญตัวมาให้ปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง” พ.ต.อ.รณชัย กล่าว

พี่สะใภ้ดาบปัดข่าว 30 ล้าน


ขณะเดียวกัน นางณัฐนันท์ กลั่นประเสริฐ พี่สะใภ้ของ ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ สายตรวจ สน.ทองหล่อ ที่ถูกนายวรยุทธขับรถชนจนเสียชีวิต ตั้งแต่เมื่อปี 2555 ได้ให้สัมภาษณ์ "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ผู้ดำเนินรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ออกอากาศทางช่อง 3 เพื่อชี้แจงกระแสข่าวที่ระบุว่า ทางครอบครัวได้รับเงินเยียวยาสูงถึง 30 ล้านบาทจากครอบครัวอยู่วิทยาจึงไม่ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ ด.ต.วิเชียร โดยยืนยันว่า ได้รับเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

“ตอนนั้นเขาถามว่าจะเรียกค่าเยียวยาเท่าไร เขาบอกว่าพี่ก็เรียกมาสิ เสร็จแล้วพี่ชาติ (พี่ชายผู้ตาย) ก็บอกว่า ก็คำนวณอายุราชการ เบี้ยบ้ายรายทางนิดๆหน่อยๆ คำนวณได้ 7-8 ล้าน พี่ชาติบอกว่าขอ 8 ล้าน เขาบอกว่าไม่ให้ พี่ชาติบอกว่างั้นขอ 6 ล้าน เขาก็ไม่ให้ เขาบอกให้ได้เต็มที่ 2 ล้าน ฉันก็บอกว่าชีวิตคนตีมูลค่าได้แค่ 2 ล้านเหรอ เขาก็นิ่ง เราไม่ได้หิวเงิน แต่เรามีศักดิ์ศรี ก็บอกว่างั้นเราขอแค่ 3 ล้าน ทนายบอกว่าขอคุยกับนายก่อน แล้วเดินออกไปโทรศัพท์แล้วบอกว่านายอนุญาตให้ 3 ล้าน แล้วเขาก็มีหนังสือมาเลยว่า ถ้ารับเงินเยียวยา 3 ล้าน คุณไม่มีสิทธิ์ฟ้องทางแพ่งและอาญา เราก็จบตั้งแต่วันนั้นเลย ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน เขาไม่ได้ให้เงินวันนั้น เขาให้อีก 1-2 อาทิตย์ต่อมา พี่ชาติ ซึ่งเป็นพี่ชายเป็นคนรับเงิน แล้วแบ่งพี่น้อง 4 คน เฉลี่ยแล้วได้คนละ 7.5 แสนบาท” นางณัฐนันท์ ระบุ

นางณัฐนันท์ กล่าวด้วยว่า ความรู้สึกลึกๆ อยากรื้อฟื้นคดี แต่เราเซ็นข้อตกลงไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์ฟ้องในทางแพ่งและทางอาญา ทั้งนี้รู้สึกเครียดกับข่าวที่ออกมาว่าได้รับเงินเยียวยา 30 ล้าน เพราะวันๆ รับแต่โทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว


กำลังโหลดความคิดเห็น