วันนี้...คงต้องขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่อง “สงครามเย็น-สงครามร้อน” มาว่ากันเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” กันดูมั่ง เพราะช่วงระหว่างนี้ แม้แต่บรรดาพวกที่ “มีทองเท่าหนวดกุ้ง”ทั้งหลาย ไม่ว่าในบ้านเราหรือในระดับโลก ต่างออกอาการ “นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” ชนิดตูมๆ ตามๆ กันไปเป็นแถบๆ อันเนื่องมาจาก “ราคาทอง” ที่พุ่งพรวดๆพราดๆ ปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ ไปใกล้ๆ จะเกือบ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เข้าไปแล้ว หรือ 1,931.00 ดอลลาร์เมื่อช่วงวันจันทร์ (27 ก.ค.) ที่ผ่านมา หรือเกือบบาทละ 5 หมื่น 6 หมื่น ถือเป็นการทำสถิติสูงสุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา...
และอันที่จริงการขึ้นพรวดๆ พราดๆ ของราคาทองช่วงนี้ หรือตลอดช่วงระยะที่ผ่านมา...มันก็ออกจะเกี่ยวเนื่อง พัวพันกับเรื่อง “สงครามเย็น-สงครามร้อน” อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน หรือด้วยเหตุเพราะ “ความเสี่ยง” ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะโดยปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ยังหามุมจบ หาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยังไม่เจอ ที่เป็นตัวส่งผลให้เศรษฐกิจแต่ละประเทศหรือเศรษฐกิจโลกทั้งโลก ต้องดำดิ่งแบบไม่รู้ว่าจะโผล่ขึ้นมาเงยหน้าอ้าปาก โผล่ขึ้นมาสูดอากาศหายใจได้ตอนไหน และเมื่อต้องเจอกับการดิ้นรนหาทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” ด้วยการอาศัยบรรยากาศ “สงคราม” เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลก ไม่ว่าในทางทหาร หรือทางเศรษฐกิจ อย่างคุณพ่ออเมริกาด้วยแล้ว มันก็เลยยิ่งส่งผลให้ “อัตราเสี่ยง” ทางเศรษฐกิจ ยิ่งระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น การหันมาหาสินทรัพย์ที่แทบไม่มีความเสี่ยง หรือมีอัตราเสี่ยงน้อยๆ อย่างโลหะมีค่า ไม่ว่าทอง หรือเงิน จึงถือเป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” หรือเป็น “สัญชาตญาณ” โดยพื้นฐาน อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
อีกทั้งด้วยเหตุเพราะสิ่งที่ถูกนำมาใช้แทนราคาค่าเงิน ค่าทอง หรือ “ธนบัตร” อย่าง “เงินดอลลาร์อเมริกัน” หรือ “Greenback” ที่ดันไม่ได้อาศัย “ทองคำสำรอง” เป็นหลักประกันราคาใดๆ ไว้เลย อาศัยเพียงแค่ “อุปสงค์-อุปทาน” ของบรรดาผู้ที่ชอบเงินๆทองๆ ในประเทศต่างๆ หรือในระดับโลก เป็นตัวกำหนดค่า กำหนดราคากันแทนที่ หรือถือเป็นธนบัตรเงินตราแบบที่เรียกๆ กันว่า “Fiat money” มาตั้งแต่เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เป็นต้นมา มันชักออกอาการตกต่ำ เสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ การหันไปลดความเสี่ยง หรือประกันความเสี่ยง ด้วยการ “ทิ้งเงินดอลลาร์” แล้วหันไปหา “ทองคำ” แท้ๆ จึงถือเป็น “ปฏิสัมพันธ์” แบบชนิดมิอาจแยกออกจากกันได้เลย...
หรืออย่างที่นักการเงิน การทอง นักยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระดับโลก อย่าง “นายPeter Schiff” ซีอีโอแห่งบริษัท “Euro Pacific” แกได้สรุปเอาไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ชัดเจน แจ่มแจ้ง และตรงไป-ตรงมา เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ว่าระหว่าง “ทองคำ” กับ “เงินดอลลาร์” นั้น โดย “หลักการ” แล้ว...ต้องถือเป็นคู่แข่งระหว่างกันและกันมาโดยตลอด โดยการที่ผู้คนเริ่ม “ทิ้งดอลลาร์” แล้วหันไปหา “ทองคำ” กันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงระยะนี้ หรือนับจากนี้เป็นต้นไป อาจถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการหวนกลับไปใช้ทองคำเป็นมาตรฐานแทนมูลค่าราคาของสินทรัพย์ต่างๆ และอาจถือเป็น “จุดเริ่มต้นของล่มสลายของเงินดอลลาร์” เอาเลยก็ว่าได้ โดยที่แนวโน้มเช่นนี้ จะไปไกลยิ่งกว่านี้อีกเยอะแยะมากมาย หรืออาจถึงขั้นที่ทำให้ราคาทองคำ 1 ออนซ์ มีค่าเท่ากับเงินธนบัตรดอลลาร์ไม่น้อยกว่า 5,000 ดอลลาร์ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ไม่ใช่แค่ 1,931 ดอลลาร์ต่อทองคำ 1 ออนซ์ ที่กำลังเป็นอยู่และเป็นไปในตราบเท่าทุกวันนี้...
คืออันที่จริง...สำหรับผู้ที่เกิดและเติบโตมาจากครอบครัวชาวยิวที่อพยพมาจากโปแลนด์แล้วมาปักหลักอยู่ในประเทศอเมริกา อย่าง “นายPeter Schiff” นั้น แกได้มองเห็นแนวโน้มเช่นนี้มานานแล้ว หรืออย่างน้อยก็เกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะรักชาติรักประเทศอเมริกา ชนิดเคยพร้อมพลีชีพเพื่อชาติด้วยการสมัครเข้าเป็นทหารร่วมรบใน “สงครามโลกครั้งที่ 2” มาแล้วก็ตาม แต่ด้วยเหตุเพราะความเป็นนักเศรษฐกิจ ที่พอมองเห็น “ปัญหา” อันเนื่องมาจาก “ความไม่สมดุล” ระหว่างการผลิตและการบริโภคในสังคมอเมริกันมาโดยตลอด แกเลยต้องออกมาพูด มาให้สัมภาษณ์สื่ออเมริกันอย่าง “Fox News” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 โน่นเลย ด้วยการอุปมา-อุปไมยเอาไว้ประมาณว่า ประเทศอเมริกากำลังมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจาก “เรือไททานิก” ที่ “ตัวผมเองก็ต้องอยู่ร่วมในเรือลำนี้ และกำลังพยายามบอกให้ผู้คนเตรียมสละเรือ อันเนื่องมาจากวิกฤตที่กำลังมาถึง...”
การออกมาพูดถึง “มะเร็งร้ายในระบบตลาดเสรี” อันจะนำมาซึ่ง “ภาวะเงินเฟ้อ” ในระดับ “Hyperinflation” ในสังคมอเมริกัน ความพังพินาศของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึง “ความล่มสลายของเงินดอลลาร์” ฯลฯ จึงเป็นสิ่งที่แกพยายามออกมาย้ำแล้วย้ำอีก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007-2008-2010 ไม่ว่าจะโดยการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ในอเมริกามาโดยตลอด รวมทั้งการคาดการณ์พยากรณ์กับสำนักข่าว CNBC เอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 หรือตั้งแต่ราคาทองคำยังมีมูลค่าต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ว่าโอกาสที่ราคาทองจะพุ่งพรวดๆ พราดๆ ไปถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่ยากในอนาคตเบื้องหน้า ตราบใดที่นโยบายเศรษฐกิจของอเมริกายังคงเป็นไปในทิศทางที่เคยเป็นมา หรือเป็นไปตามแบบฉบับ “ลัทธิจักรวรรดินิยม” ทั้งหลาย...
และการมอง การประเมินในรูปนี้...ก็ไม่น่าจะถึงกับเป็นการ “มองโลกในแง่ร้าย” เกินไปนัก เพราะถ้าหากย้อนกลับไปเทียบเคียงมูลค่าของเงินดอลลาร์กับราคาทองคำ เมื่อช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา หรือช่วงที่ประเทศอเมริกากำลังจมดิ่งไปกับกระแสความต้องการที่อยากจะเป็นผู้นำโลก ตำรวจโลก หรือเป็นจักรวรรดิโลก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “ระบบเงินตรา” จากระบบที่เรียกว่า “Promissory Note” อันเคยมี “ทองคำ”หนุนหลัง มาเป็นระบบ “Fiat Money” ที่อาศัย “อุปสงค์-อุปทาน” เป็นตัวกำหนด ในยุคอดีตประธานาธิบดี “ริชาร์ด นิกสัน” หรือยุคสงครามเวียดนามเป็นต้นมา เพราะช่วงก่อนหน้านั้น...เงินดอลลาร์แค่ 35 ดอลลาร์ ยังเคยสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับทองคำ 1 ออนซ์ได้สบายๆ แต่มาทุกวันนี้...หนีไม่พ้นต้องควักเงินดอลลาร์จำนวนถึงเกือบ 2,000 ดอลลาร์ ถึงพอจะเอาไปแลกทองคำได้ 1 ออนซ์ ความตกต่ำ เสื่อมโทรม ในระดับนับเป็นพันๆ เท่า จึงทำให้การคาดการณ์ ประมาณการถึง “ความล่มสลายของเงินดอลลาร์” จึงย่อมไม่ใช่การ “มองโลกในแง่ร้าย” แต่อย่างใด แต่มันกำลังกลายเป็น “ความจริง” และเป็น “ข้อเท็จจริง” อันมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป...
ด้วยเหตุนี้...การออกมาพูด ออกมาย้ำ ออกมาเตือนครั้งล่าสุด หรือเมื่อช่วงวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ของ “นายPeter Schiff” ที่สรุปเอาไว้ว่า “เงินดอลลาร์กำลังไหลเข้าสู่จุดต่ำสุดในแต่ละวัน ขณะที่ราคาทองคำกำลังพุ่งขึ้นไปแตะเพดานในแต่ละวัน นี่คือภาพสะท้อนการแข่งขันที่แท้จริง ที่คุณจะต้องรีบทิ้งเงินดอลลาร์ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะ...สายเกินไป” จึงเป็นอะไรที่ควรเก็บมานั่งคิด นอนคิด ก่ายหน้าผากคิด เอาไว้ให้จงหนัก เพราะไม่เพียงซีอีโอของบริษัท “Euro Pacific” รายนี้เท่านั้น ที่ออกมาชี้แนะ ชี้นำในแนวนี้ กระทั่งบรรษัทการเงิน-การทองระดับโลก อย่าง “JP Morgan” และ “Goldman Sachs”ยังหนีไม่พ้นต้องออกมาแนะนำลูกค้าของบริษัท ให้หันไป “ซื้อทอง” มาเก็บเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อาจต้องควักเงินดอลลาร์ถึง 5,000 ดอลลาร์ ถึงจะเอาไปแลกเปลี่ยนทองคำได้แค่ 1 ออนซ์ หรือก่อนที่เงินดอลลาร์ จะกลายสภาพเป็น “แบงก์กงเต๊ก” ไปในท้ายที่สุด!!!