xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์เผชิญศึกหนักรอบทิศ

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
การเสียชีวิตของชายผิวสี จอร์จ ฟลอยด์ เป็นต้นเหตุของการชุมนุมต่อต้านการเหยียดผิวสี มีทั้งความวุ่นวาย ความรุนแรง การจลาจลสืบเนื่องจากการประท้วงรัฐบาล ความไม่สงบยืดเยื้อนานกว่า 60 วัน ช่วงนี้เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เป็นจุดเดือดสำคัญ

และก็เป็นที่เมืองพอร์ตแลนด์นี่แหละ ที่ผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง หรือ federal agents ในชุดปราบจลาจล ไม่ติดป้ายชื่อ ป้ายสังกัด พร้อมอาวุธ เข้าไปรักษาความสงบ ปะทะกับกลุ่มผู้ประท้วง เลือดตกยางออกทั้งสองฝ่าย

การส่งกองกำลังเข้าไปไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ว่าการรัฐ นายกเทศมนตรีของแต่ละเมือง ประชาชนก็ต่อต้าน แม้จะถูกเรียกร้องให้ถอนกำลังออกไป กระทรวงป้องกันความมั่นคงมาตุภูมิก็อ้างว่ามีเหตุสมควรที่จะส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางไปรักษาความสงบ

เหตุผลคือ กองกำลังของรัฐมีสิทธิและอำนาจเข้าไปปกป้องคุ้มครองทรัพย์สิน อาคารต่างๆ ของรัฐบาลกลาง ที่ผ่านมาผู้ประท้วงพยายามบุกเข้าไปในอาคารศาล และจุดไฟเผาทำลายส่วนประกอบอาคารอื่นๆ ดังนั้นมีความจำเป็นและเหตุผลเพียงพอ

แต่นักกฎหมายเถียงว่าการปกป้องอาคารที่เป็นของรัฐบาลกลาง หรือ federal buildings นั้น เป็นภารกิจจำเป็น แต่การที่เจ้าหน้าที่ส่วนกลางออกมารักษาความสงบบนถนน ปะทะกับผู้ชุมนุมนอกบริเวณอาคารของรัฐนั้น ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

นายกเทศมนตรีเกือบ 10 เมืองได้ยื่นหนังสือไปยังรัฐบาลกลางให้ถอนเจ้าหน้าที่ส่วนนี้ออกไป แต่ทรัมป์ไม่ยอม แถมยังขู่ว่าจะส่งหน่วยแบบนี้ไปยังมลรัฐอื่นๆ อีกด้วย

ทรัมป์ถูกโจมตีว่ามีการเลือกที่รักมักที่ชัง เพราะส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางไปในมลรัฐที่ผู้ว่าการสังกัดพรรคเดโมแครต จึงถูกมองว่าเป็นการหวังผลเลือกตั้งด้วย เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก็มีการเลือกตั้งของผู้ว่าการ ส.ส., ส.ว.และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ด้วย

ในแต่ละมลรัฐมีอาคารเป็นกลุ่ม ที่เรียกว่า federal buildings หรือศูนย์ราชการนั่นเอง เพื่อสะดวกสำหรับประชาชนติดต่อด้านเอกสารเรื่องราวต่างๆ ทั้งการต่อวีซ่า และเมืองพอร์ตแลนด์ ก็เป็นจุดของการชุมนุมประท้วง คนเข้าร่วมมีทั้งคนผิวสี และผิวขาว

ประเด็นนี้เองที่คณะกรรมาธิการยุติธรรมของสภาคองเกรส ได้จัดให้มีการไต่สวนรัฐมนตรียุติธรรม นายวิลเลียม พี. บาร์ คืนวันอังคารตามเวลาประเทศไทย ซึ่งสมาชิกพรรคเดโมแครตก็พยายามไล่บี้นายบาร์ ขณะที่พรรครีพับลิกันพยายามปกป้องเต็มที่

นี่เป็นรูปแบบปกติของการแบ่งฝักแบ่งฝาย พวกใครพวกมัน พรรคเดโมแครตกุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรส ดังนั้นประธานกรรมาธิการคณะต่างๆ จึงเป็น ส.ส.เดโมแครต แต่มี ส.ส.รีพับลิกันซึ่งมีลีลา ฝีปากสูสีกันคอยแก้ต่าง ตั้งคำถามนำให้นายบาร์

ในสหรัฐฯ ถ้ามีเหตุการณ์ไม่สงบ แต่ละรัฐจะใช้เจ้าหน้าที่ของตัวเอง เช่นตำรวจ และหน่วยงานอื่นๆ ถ้ารุนแรง ก็จะส่งหน่วย National Guard ออกมาควบคุมสถานการณ์ แต่ทรัมป์มักใช้กำลังนอกรัฐ ในบางกรณีขู่ว่าจะใช้ทหารประจำการด้วย

ในช่วงหนึ่งของการไล่บี้นายบาร์ ส.ส.เดโมแครตซักว่าการที่ทรัมป์สั่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางเข้าไปนั้น เป็นเพราะต้องการกลบความล้มเหลวในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 และเป็นความพยายามแสดงให้คนอเมริกันเห็นความเป็นภาวะผู้นำ ใช่หรือไม่

แน่นอน นายบาร์ตอบว่า “ไม่เกี่ยวกัน” และอ้างแบบเดิมว่าเจ้าหน้าที่ส่วนกลางมีหน้าที่ป้องกันทรัพย์สินและอาคารของรัฐบาลกลาง และการรักษาความสงบเป็นหน้าที่ของผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะเป็นช่วงรณรงค์หาเสียงสำหรับการเลือกตั้งหรือไม่

ส.ส. สตีฟ โคเฮน จากรัฐเทนเนสซี โจมตีนายบาร์ว่าเจ้าหน้าส่วนกลางไม่ติดป้ายสังกัดได้ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้ชุมนุมประท้วง และเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้รับการฝึกฝนในการควบคุมฝูงชน มีการใช้กระสุนยางเล็งยิงศีรษะผู้ประท้วง มีผู้บาดเจ็บมากมาย

มีกฎหมายโบราณซึ่งได้ให้อำนาจประธานาธิบดีส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางไปรักษาความสงบในมลรัฐที่มีเหตุร้าย หรือสิทธิของประชาชนถูกละเมิด เจ้าหน้าที่มีอำนาจลาดตระเวนในพื้นที่นอกบริเวณอาคารโดยไม่จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยินยอม

คนอเมริกันส่วนหนึ่งมองว่าทรัมป์มีพฤติกรรมเอาอย่างผู้นำรัฐเผด็จการ อ้างความจำเป็นในการรักษากฎหมาย ความสงบเรียบร้อย จนหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมาย

ทรัมป์เหลือเวลาอีกไม่ถึง 100 วันที่จะต้องพยายามกอบกู้สภาวะตกต่ำด้านความนิยมในกลุ่มประชาชน เพราะตามหลังคู่แข่ง นายโจ ไบเดน หลายจุด โอกาสจะชนะไม่ง่ายเว้นแต่จะมีการพลิกผัน และคนผิวขาวส่วนหนึ่งยังอยากให้ทรัมป์เป็นผู้นำอีกรอบ

แต่โอกาสที่ทรัมป์จะได้คะแนนจากคนผิวสีและกลุ่มสตรี อยู่ในภาวะริบหรี่!

ตัวเลขการติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์ไร้ฝีมือ การนำความสามารถในการจัดการวิกฤต มีพฤติกรรมและความคิดเพี้ยนๆ จนกลายเป็นตัวตลกหลายครั้ง ช่วงนี้มีความขัดแย้ง เช่นการสั่งให้เปิดโรงเรียนทั้งๆ ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้น

ทรัมป์หาเรื่องโทษจีนว่าเป็นต้นตอของการระบาดไม่ได้ เพราะเวลาผ่านมานานกว่าครึ่งปี ถ้าสหรัฐฯ หรือผู้นำประเทศ รวมทั้งขีดความสามารถจัดการโรคระบาดได้จริง ก็ไม่ควรให้ยืดเยื้อ สร้างความเสียหายมากขนาดนี้ ดังนั้น จึงเปิดประเด็นอื่นๆ กับจีนอีก

เช่นอ้างการจารกรรมนำไปสู่การปิดสถานกงสุลของทั้งสองประเทศ แต่ไม่ว่าทรัมป์จะเปิดศึกแนวไหนอีก ก็จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถจัดการเรื่องโควิด-19 ได้สำเร็จ

ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ยังเตือนซ้ำซากว่าถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ตัวเลขมีแต่จะเพิ่มขึ้น ทั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจจะยากสำหรับการแก้ไข เป็นเพราะทรัมป์ไม่ใส่ใจที่จะรับฟังคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ และเชื่อหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่ใช้ความคิดตัวเอง

จุดสำคัญ ถ้าทรัมป์แพ้เลือกตั้ง ไม่ยอมแพ้ ไม่ออกจากทำเนียบขาว จะทำอย่างไร?


กำลังโหลดความคิดเห็น