นายกฯ สั่งตรวจสอบคดี “ บอส กระทิงแดง” ยันไม่เคยช่วยเหลือคนทำผิดกฎหมาย ย้ำทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ เร่ง สตช. ตั้งคณะกรรมตรวจสอบ “ทนายอานนท์”เผยผลตรวจ รพ.รามาฯ พบสารโคเคนในร่างกาย "บอส” แต่ตร.ไม่แจ้งข้อหา
จากกรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ”บอส” ทายาทกระทิงแดง กรณีขับรถเฟอรารี่ ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่แย้งคำสั่งของอัยการนั้น
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และมีความไม่สบายใจ จึงเห็นว่าควรต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เกิดความชัดเจน เพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี รู้สึก เข้าใจดีถึงความรู้สึกของประชาชน พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดีดังกล่าวตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ถึงขั้นตอนของอัยการว่าเป็นมาอย่างไร พร้อมทั้งรายงานโดยด่วน และนายกฯ ยืนยันไม่เคยช่วยเหลือใคร ไม่เคยแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกฯ ย้ำว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องหลักตามกระบวนการยุติธรรมในกรณีนี้ คือตำรวจเจ้าของคดี และพนักงานอัยการ โดยเฉพาะอัยการนั้น นายกฯ ไม่ได้เป็นผู้แต่งตั้ง และมีอำนาจพิจารณาคดีได้อย่างอิสระตามขอบเขตของกฎหมาย ดังนั้น นายกฯ ไม่สั่งการใครในคดีนี้ และทุกอย่างต้องเป็นไปตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม หากใครทำผิด จะต้องถูกลงโทษทั้งสิ้น พร้อมทั้งเตือนขอให้อย่านำเรื่องนี้ไปบิดเบือน หรือเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ จนเกิดความเข้าใจผิดและสับสน
เผยผลตรวจพบสารโคเคนในร่างกาย "บอส"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากหนังสือแจ้งผลการตรวจสารแปลกปลอมของ รพ.รามาธิบดี ที่ น.395/2555 ลงวันที่ 1 ต.ค.55 ที่ตรวจสารแปลกปลอม ที่พบในร่างกายของ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ปรากฏว่า พบสาร Benzoylecgonine ซึ่งเป็นผลมาจากการเสพโคเคน (สารนี้จะไม่พบในอาหาร และยาอื่น) และพบสาร Cocaethyene ซึ่งเป็นผลมาจากการเสพโคเคน ร่วมกับแอลกอฮอล์ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานฉบับนี้จากแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์แล้ว มีเหตุผลอะไร ที่พนักงาน สอบสวน ไม่ตั้งข้อหาเสพโคเคน ซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทสอง และไม่ดำเนินคดีข้อหาขับรถโดยเสพสารเสพติดประเภทสอง ในคดีนี้ตั้งแต่แรก ของการดำเนินคดี ทั้งที่มีความชัดเจนของผลตรวจ
ล่าสุดวานนี้ (26 ก.ค.) นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์จดหมายเปิดผนึก ถึงอัยการสูงสุด และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา พร้อมถามหาสาเหตุที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ไม่ตั้งข้อหาเสพโคเคน ซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทสอง และไม่ดำเนินคดี ข้อหาขับรถโดยเสพสารเสพติดประเภทสอง ในคดีนี้ตั้งแต่แรก ทั้งที่ผลตรวจพบร่องรอยการเสพอย่างชัดเจน
ในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ระบุหลักฐานที่ นายอานนท์ แนบมาด้วย รวมถึงผลการตรวจหาสารเสพติดของ นายวรยุทธ จาก รพ.รามาธิบดี ลงวันที่ 1 ต.ค.55 ซึ่งมีเนื้อหาว่า ภาควิชาพยาธิวิทยา ขอแจ้งเกี่ยวกับสารแปลกปลอม ที่พบในร่างกายของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ตามที่ สน.ทองหล่อ ขอทราบข้อมูลดังต่อไปนี้
1.Alprazolam(อัลพาโซแลม) เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ. วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ โดยทางการแพทย์อาจใช้เป็นยานอนหลับ หรือยาแก้โรคทางจิตประสาท และสามารถพบในปัสสาวะได้นานถึง 3-5 วัน หลังเสพ
2.Benzoyleegorineเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือด ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หลังจากการเสพ Cocaine(โคเคน) ซึ่ง Cocaineเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ โดย Cocaineปกติจะไม่พบปนอยู่ในยาหรืออาหาร และสามารถอยู่ในเลือดได้นานถึง 18-28 ชม.หลังเสพ
3.Cocacthyleneเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือด ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หลังจากการเสพ Cocaineร่วมกับแอลกอฮอลก์
4. Caffeine (คาเฟอีน) ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ และไม่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทตาม พ.ร.บ. วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ โดยเป็นสารที่พบได้ในชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลมชนิดน้้ำดำ เป็นต้น และสามารถพบในปัสสาวะได้นานถึง 2-3 วัน หลังเสพ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ และแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบต่อไป
"รสนา"เตรียมยื่นศาลขอความเป็นธรรม
ด้านน.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ว่า การที่ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง"บอส กระทิงแดง" และตำรวจสอบสวนไม่คัดค้าน เป็นการตอกย้ำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในทางกฎหมายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยของสังคมว่า คนรวยทำผิดอย่างชัดเจน ก็สามารถวิ่งเต้นเพื่อสร้างกระบวนการสืบสวน สอบสวน และพยานหลักฐานใหม่ที่น่าเคลือบแคลง เพื่อให้พ้นผิดได้ เพราะอำนาจเงิน และคอนเนกชั่น ใช่หรือไม่ ส่วนคนจนทำผิดต้องติดคุกสถานเดียว แสดงว่า หลักนิติธรรม ไม่สามารถปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ย่อมเกิดข้อกังขาว่าประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยหลักนิติธรรมจึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าเป็นนิติรัฐ ใช่หรือไม่
น.ส.รสนา ระบุว่า ได้ขอคำปรึกษาอดีตผู้พิพากษาผู้ใหญ่บางท่านในเรื่องนี้ ก็ได้รับคำแนะนำ ให้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อศาลยุติธรรม ที่ทำงานภายใต้พระปรมาภิไธยแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนในประเทศนี้ ดังนั้น จึงได้ทำหนังสือ เรื่อง ขอความเป็นธรรมในการไม่เพิกถอนหมายจับผู้ต้องหา ถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยจะนำไปยื่นด้วยตัวเอง ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในวันพุธที่ 29 ก.ค.นี้ เวลา 9.00 น.
2 ตร.พยานให้การ”ดาบวิเชียร”ขี่จยย.ตัดหน้า
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเรื่องนี้ว่า ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ถูกหนุ่มทายาทอภิมหาเศรษฐีระดับโลก ขับรถเฟอรารี่ชนตาย ลากไปเป็นระยะทางยาว แล้วยังถูกกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นก่อนศาล วินิจฉัยว่า ขับรถมอเตอร์ไซค์โดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ตัวเองตาย ต้องตกเป็นผู้ต้องหาที่ 2 มาตั้งแต่แรก ในชั้นพนักงานสอบสวนแล้ว แปลว่า ในชั้นต้น พนักงานสอบสวนตั้งประเด็นไว้ว่า เป็นเหตุที่เกิดจากความประมาทร่วมกันของคู่กรณี
แต่ท้ายสุด ในสำนวนสั่งคดีของอัยการ เห็นว่าเป็นเหตุประมาทของ ด.ต.วิเชียร ฝ่ายเดียว ทายาทอภิมหาเศรษฐีหาประมาทไม่ !
เหตุเกิดเพราะมีการร้องเรียนขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการ ให้สอบสวนใหม่หลายครั้ง หลายช่วงเวลา รวมทั้งร้องเรียนไปยังองค์กรอื่นด้วย ในที่สุดอัยการ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่า มีนายตำรวจ 2 นาย เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ มาให้การเพิ่มเติม เรื่องความเร็วของรถเฟอรารี่ โดยตรวจสอบสภาพของรถคู่กรณี โดยเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ แล้วยืนยันว่า รถเฟอรารี่ ขับบมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ไม่ใช่ 177 กม./ชม. ตามที่พยานผู้เชี่ยวชาญ ที่เป็นตำรวจเช่นกัน เคยให้การไว้ในการสอบสวนครั้งแรก
นอกจากนี้พยานบุคคลใหม่ มาให้การ ในวันที่ 4 ธ.ค.62 อีกด้วย
พยานบุคคลใหม่ทั้ง 2 ราย เป็น “ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ” จึงมีความสำคัญต่อเนื่องมาจากพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ข้างต้น เพราะเรื่องความเร็วของรถ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็น “ประเด็นสำคัญแห่งคดี” นี้ ที่จะทำให้วินิจฉัยได้ว่า ใครประมาท หรือ ประมาทร่วม
พยานทั้งสองบอกว่า ขับรถมาด้วยความเร็วราว 60-70 กม./ชม. ตามรถมอเตอร์ไซค์ และ ด.ต.วิเชียร เป็นผู้เปลี่ยนเลนจากเลนที่ 1 ด้านติดฟุตปาธ ไปยังเลนที่ 3 ด้านติดเกาะกลางถนน ที่รถเฟอรารี่ ขับมาอย่างกระชั้นชิด
อัยการท่านเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ และประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุใหม่ เห็นว่าคนขับรถเฟอรารี่ ไม่เป็นผู้ขับรถโดยประมาท เพราะขับมาด้วยความเร็วตามกฎหมายเป๊ะ แต่กลับถูกปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด จึงชนไปโดยเหตุสุดวิสัย หาใช่ประมาทไม่ ผู้ประมาทคือ นายดาบเคราะห์ร้ายผู้วายชนม์ต่างหาก ส่วนข้อหาขับรถขณะดื่มสุรา นั้น สั่งไม่ฟ้องไปนานแล้ว จึงไม่อยู่ในประเด็นแห่งคดีนี้ … จึงพลิกกลับคำสั่งฟ้องเดิม สั่งไม่ฟ้อง
ขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่โต้แย้ง ไม่มีรายงานว่า “ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ” ใหม่ทั้ง 2 ราย ที่ขับรถอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยขับรถตามนายดาบ เห็นเหตุการณ์กับตาทั้งหมด ไฉนเพิ่งมาให้การเอาในช่วงนี้ เมื่อ 8 ปีก่อนขณะเกิดเหตุการณ์โด่งดังไปอยู่เสียที่ไหน และประเด็นนี้ อัยการท่านสงสัยหรือไม่ และมีเหตุผลใดมีน้ำหนักเพียงพอมาหักล้างข้อสงสัยนั้น
นายคำนูณ ระบุด้วยว่า ขอให้ท่านนายกฯ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบโดยด่วน ท่านเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร อย่างน้อยที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็อยู่ในราชการฝ่ายบริหารภายใต้การกำกับดูแลของท่านโดยตรง และท่านเองก็ได้รับปากอย่างองอาจกลางสภาฯ ว่าจะเร่งดำเนินการปฏิรูปตำรวจ บัดนี้เวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว กรุณาบอกกล่าวต่อประชาชนว่า ท่านจะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ กับ ร่างพ.ร.การสอบสวนคดีอาญา ที่อยู่ในมือของท่าน จะเอายังไงกันดีครับ
ผู้คนทั้งสังคม อับอาย อึดอัด คับข้อง อารมณ์คุกรุ่น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ... อยากได้มธุรสชโลมใจลดความอึดอัดคับข้องคุกรุ่นจากปาก และการกระทำของท่านนายกรัฐมนตรีโดยพลันครับ
บริหารราชการแผ่นดินโดยประมาทความรู้สึกของประชาชนไม่ได้เด็ดขาด
ส.ส.ก้าวไกลชงกมธ.ป.ป.ช.สอบอัยการ
นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ.ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าในการประชุมกมธ. วันที่ 29 ก.ค.นี้ จะเสนอต่อที่ประชุมให้ดำเนินการตรวจสอบ กรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา เพราะดูแล้วมีข้อพิรุธมากมายในการสั่งไม่ฟ้อง อะไรเป็นมูลเหตุมาหักล้าง ที่อัยการไปเชื่อพยานบุคคลใหม่ 2 คน ที่มาให้การภายหลังว่า ตำรวจสน.ทองหล่อ เป็นฝ่ายประมาท เปลี่ยนเส้นทางรถไปหารถเฟอร์รารี่ ของนายวรยุทธเอง กมธ.จะตรวจสอบว่า การกระทำของอัยการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
นอกจากนี้ จะเสนอให้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งอัยการสูงสุด ผบ.ตร. และตำรวจที่เกี่ยวข้อง กับการทำคดีทุกคนมาให้การต่อ กมธ. รวมถึงจะพิจารณาขอสำนวนอัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวมาตรวจสอบด้วย
สตม.ถอนชื่อ"บอส"พ้นแบล็กลิสต์
พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (รอง ผบช.สตม.) ในฐานะโฆษกสตม. เปิดเผยกรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส กระทิงแดง”จนต้องนำไปสู่การถอนหมายจับว่า เรื่องระบบตรวจคนเข้าเมืองนั้น เมื่อมีเอกสารหมายจับมาไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ก็ต้องนำเข้าระบบฐานข้อมูลบุคคลต้องห้าม (blacklist)
"เมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว และมีหนังสือให้ถอนหมายจับมาเราก็ต้องถอนออกจากระบบ กรณีนี้สตม.ได้รับหนังสือถอนหมายจับจากสน.ทองหล่อ มาเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางสตม.จึงได้ทำเรื่องถอนหมายจับออกจากระบบแล้ว" โฆษกสตม.ระบุ
พล.ต.ต.สุรพงษ์ กล่าวว่าด้วยว่า ล่าสุดจากการตรวจสอบ ยังไม่พบว่านายวรยุทธ ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย พบแต่ข้อมูลเดินทางออกไปนอกประเทศ ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 เม.ย.60 และยังไม่พบเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกเลย ทั้งนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติม จะแจ้งให้ทราบต่อไป
อสส.ตั้งคณะทำงาน 7คน ตรวจสอบสำนวน
วานนี้ (26ก.ค.) สำนักงานอัยการสูงสุด เผยแพร่เอกสารข่าว โดยนายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนว่า พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นชอบแล้ว โดยข่าวดังกล่าว สื่อมวลชนได้นำเสนอเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น
สำนักงานอัยการสูงสุด ขอชี้แจงว่าเมื่อปรากฏข่าวดังกล่าว อัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่งกำลังปฏิบัติราชการอยู่ในพื้นที่สำนักงานอัยการ ภาค 4 ในการประชุมสัมมนาข้าราชการฝ่ายอัยการในเขตพื้นที่ภาค 4 จ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 23-26 ก.ค.63 จึงทำการตรวจสอบและทราบว่ากรณีที่เป็นข่าว เป็นสำนวน ส.1 เลขรับที่ 107/2556 ของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1
ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า การสั่งสำนวนคดีดังกล่าวเป็นไปตามหลักกฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และมีเหตุผลในการสั่งพิจารณาคดีอย่างไร จึงมีคำสั่งทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ พิเศษ/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีดังกล่าว โดยมีนายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และคณะทำงานอื่น รวมทั้งสิ้น 7 คน ทั้งนี้ ให้คณะทำงานเร่งตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงโดยเร็ว และเมื่อมีผลคืบหน้าประการใด จะได้แจ้งให้บุคลากรสำนักงานอัยการสูงสุด และประชาชนทราบโดยทั่วกัน
จากกรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ”บอส” ทายาทกระทิงแดง กรณีขับรถเฟอรารี่ ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่แย้งคำสั่งของอัยการนั้น
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และมีความไม่สบายใจ จึงเห็นว่าควรต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เกิดความชัดเจน เพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี รู้สึก เข้าใจดีถึงความรู้สึกของประชาชน พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดีดังกล่าวตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ถึงขั้นตอนของอัยการว่าเป็นมาอย่างไร พร้อมทั้งรายงานโดยด่วน และนายกฯ ยืนยันไม่เคยช่วยเหลือใคร ไม่เคยแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกฯ ย้ำว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องหลักตามกระบวนการยุติธรรมในกรณีนี้ คือตำรวจเจ้าของคดี และพนักงานอัยการ โดยเฉพาะอัยการนั้น นายกฯ ไม่ได้เป็นผู้แต่งตั้ง และมีอำนาจพิจารณาคดีได้อย่างอิสระตามขอบเขตของกฎหมาย ดังนั้น นายกฯ ไม่สั่งการใครในคดีนี้ และทุกอย่างต้องเป็นไปตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม หากใครทำผิด จะต้องถูกลงโทษทั้งสิ้น พร้อมทั้งเตือนขอให้อย่านำเรื่องนี้ไปบิดเบือน หรือเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ จนเกิดความเข้าใจผิดและสับสน
เผยผลตรวจพบสารโคเคนในร่างกาย "บอส"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากหนังสือแจ้งผลการตรวจสารแปลกปลอมของ รพ.รามาธิบดี ที่ น.395/2555 ลงวันที่ 1 ต.ค.55 ที่ตรวจสารแปลกปลอม ที่พบในร่างกายของ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ปรากฏว่า พบสาร Benzoylecgonine ซึ่งเป็นผลมาจากการเสพโคเคน (สารนี้จะไม่พบในอาหาร และยาอื่น) และพบสาร Cocaethyene ซึ่งเป็นผลมาจากการเสพโคเคน ร่วมกับแอลกอฮอล์ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานฉบับนี้จากแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์แล้ว มีเหตุผลอะไร ที่พนักงาน สอบสวน ไม่ตั้งข้อหาเสพโคเคน ซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทสอง และไม่ดำเนินคดีข้อหาขับรถโดยเสพสารเสพติดประเภทสอง ในคดีนี้ตั้งแต่แรก ของการดำเนินคดี ทั้งที่มีความชัดเจนของผลตรวจ
ล่าสุดวานนี้ (26 ก.ค.) นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์จดหมายเปิดผนึก ถึงอัยการสูงสุด และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา พร้อมถามหาสาเหตุที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ไม่ตั้งข้อหาเสพโคเคน ซึ่งเป็นสารเสพติดประเภทสอง และไม่ดำเนินคดี ข้อหาขับรถโดยเสพสารเสพติดประเภทสอง ในคดีนี้ตั้งแต่แรก ทั้งที่ผลตรวจพบร่องรอยการเสพอย่างชัดเจน
ในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ระบุหลักฐานที่ นายอานนท์ แนบมาด้วย รวมถึงผลการตรวจหาสารเสพติดของ นายวรยุทธ จาก รพ.รามาธิบดี ลงวันที่ 1 ต.ค.55 ซึ่งมีเนื้อหาว่า ภาควิชาพยาธิวิทยา ขอแจ้งเกี่ยวกับสารแปลกปลอม ที่พบในร่างกายของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ตามที่ สน.ทองหล่อ ขอทราบข้อมูลดังต่อไปนี้
1.Alprazolam(อัลพาโซแลม) เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ. วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ โดยทางการแพทย์อาจใช้เป็นยานอนหลับ หรือยาแก้โรคทางจิตประสาท และสามารถพบในปัสสาวะได้นานถึง 3-5 วัน หลังเสพ
2.Benzoyleegorineเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือด ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หลังจากการเสพ Cocaine(โคเคน) ซึ่ง Cocaineเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ โดย Cocaineปกติจะไม่พบปนอยู่ในยาหรืออาหาร และสามารถอยู่ในเลือดได้นานถึง 18-28 ชม.หลังเสพ
3.Cocacthyleneเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือด ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หลังจากการเสพ Cocaineร่วมกับแอลกอฮอลก์
4. Caffeine (คาเฟอีน) ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ และไม่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทตาม พ.ร.บ. วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ โดยเป็นสารที่พบได้ในชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลมชนิดน้้ำดำ เป็นต้น และสามารถพบในปัสสาวะได้นานถึง 2-3 วัน หลังเสพ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ และแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบต่อไป
"รสนา"เตรียมยื่นศาลขอความเป็นธรรม
ด้านน.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ว่า การที่ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง"บอส กระทิงแดง" และตำรวจสอบสวนไม่คัดค้าน เป็นการตอกย้ำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในทางกฎหมายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยของสังคมว่า คนรวยทำผิดอย่างชัดเจน ก็สามารถวิ่งเต้นเพื่อสร้างกระบวนการสืบสวน สอบสวน และพยานหลักฐานใหม่ที่น่าเคลือบแคลง เพื่อให้พ้นผิดได้ เพราะอำนาจเงิน และคอนเนกชั่น ใช่หรือไม่ ส่วนคนจนทำผิดต้องติดคุกสถานเดียว แสดงว่า หลักนิติธรรม ไม่สามารถปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ย่อมเกิดข้อกังขาว่าประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยหลักนิติธรรมจึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าเป็นนิติรัฐ ใช่หรือไม่
น.ส.รสนา ระบุว่า ได้ขอคำปรึกษาอดีตผู้พิพากษาผู้ใหญ่บางท่านในเรื่องนี้ ก็ได้รับคำแนะนำ ให้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อศาลยุติธรรม ที่ทำงานภายใต้พระปรมาภิไธยแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนในประเทศนี้ ดังนั้น จึงได้ทำหนังสือ เรื่อง ขอความเป็นธรรมในการไม่เพิกถอนหมายจับผู้ต้องหา ถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยจะนำไปยื่นด้วยตัวเอง ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในวันพุธที่ 29 ก.ค.นี้ เวลา 9.00 น.
2 ตร.พยานให้การ”ดาบวิเชียร”ขี่จยย.ตัดหน้า
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเรื่องนี้ว่า ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ถูกหนุ่มทายาทอภิมหาเศรษฐีระดับโลก ขับรถเฟอรารี่ชนตาย ลากไปเป็นระยะทางยาว แล้วยังถูกกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นก่อนศาล วินิจฉัยว่า ขับรถมอเตอร์ไซค์โดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ตัวเองตาย ต้องตกเป็นผู้ต้องหาที่ 2 มาตั้งแต่แรก ในชั้นพนักงานสอบสวนแล้ว แปลว่า ในชั้นต้น พนักงานสอบสวนตั้งประเด็นไว้ว่า เป็นเหตุที่เกิดจากความประมาทร่วมกันของคู่กรณี
แต่ท้ายสุด ในสำนวนสั่งคดีของอัยการ เห็นว่าเป็นเหตุประมาทของ ด.ต.วิเชียร ฝ่ายเดียว ทายาทอภิมหาเศรษฐีหาประมาทไม่ !
เหตุเกิดเพราะมีการร้องเรียนขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการ ให้สอบสวนใหม่หลายครั้ง หลายช่วงเวลา รวมทั้งร้องเรียนไปยังองค์กรอื่นด้วย ในที่สุดอัยการ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่า มีนายตำรวจ 2 นาย เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ มาให้การเพิ่มเติม เรื่องความเร็วของรถเฟอรารี่ โดยตรวจสอบสภาพของรถคู่กรณี โดยเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ แล้วยืนยันว่า รถเฟอรารี่ ขับบมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ไม่ใช่ 177 กม./ชม. ตามที่พยานผู้เชี่ยวชาญ ที่เป็นตำรวจเช่นกัน เคยให้การไว้ในการสอบสวนครั้งแรก
นอกจากนี้พยานบุคคลใหม่ มาให้การ ในวันที่ 4 ธ.ค.62 อีกด้วย
พยานบุคคลใหม่ทั้ง 2 ราย เป็น “ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ” จึงมีความสำคัญต่อเนื่องมาจากพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ข้างต้น เพราะเรื่องความเร็วของรถ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็น “ประเด็นสำคัญแห่งคดี” นี้ ที่จะทำให้วินิจฉัยได้ว่า ใครประมาท หรือ ประมาทร่วม
พยานทั้งสองบอกว่า ขับรถมาด้วยความเร็วราว 60-70 กม./ชม. ตามรถมอเตอร์ไซค์ และ ด.ต.วิเชียร เป็นผู้เปลี่ยนเลนจากเลนที่ 1 ด้านติดฟุตปาธ ไปยังเลนที่ 3 ด้านติดเกาะกลางถนน ที่รถเฟอรารี่ ขับมาอย่างกระชั้นชิด
อัยการท่านเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ และประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุใหม่ เห็นว่าคนขับรถเฟอรารี่ ไม่เป็นผู้ขับรถโดยประมาท เพราะขับมาด้วยความเร็วตามกฎหมายเป๊ะ แต่กลับถูกปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด จึงชนไปโดยเหตุสุดวิสัย หาใช่ประมาทไม่ ผู้ประมาทคือ นายดาบเคราะห์ร้ายผู้วายชนม์ต่างหาก ส่วนข้อหาขับรถขณะดื่มสุรา นั้น สั่งไม่ฟ้องไปนานแล้ว จึงไม่อยู่ในประเด็นแห่งคดีนี้ … จึงพลิกกลับคำสั่งฟ้องเดิม สั่งไม่ฟ้อง
ขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่โต้แย้ง ไม่มีรายงานว่า “ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ” ใหม่ทั้ง 2 ราย ที่ขับรถอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยขับรถตามนายดาบ เห็นเหตุการณ์กับตาทั้งหมด ไฉนเพิ่งมาให้การเอาในช่วงนี้ เมื่อ 8 ปีก่อนขณะเกิดเหตุการณ์โด่งดังไปอยู่เสียที่ไหน และประเด็นนี้ อัยการท่านสงสัยหรือไม่ และมีเหตุผลใดมีน้ำหนักเพียงพอมาหักล้างข้อสงสัยนั้น
นายคำนูณ ระบุด้วยว่า ขอให้ท่านนายกฯ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบโดยด่วน ท่านเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร อย่างน้อยที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็อยู่ในราชการฝ่ายบริหารภายใต้การกำกับดูแลของท่านโดยตรง และท่านเองก็ได้รับปากอย่างองอาจกลางสภาฯ ว่าจะเร่งดำเนินการปฏิรูปตำรวจ บัดนี้เวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว กรุณาบอกกล่าวต่อประชาชนว่า ท่านจะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ กับ ร่างพ.ร.การสอบสวนคดีอาญา ที่อยู่ในมือของท่าน จะเอายังไงกันดีครับ
ผู้คนทั้งสังคม อับอาย อึดอัด คับข้อง อารมณ์คุกรุ่น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ... อยากได้มธุรสชโลมใจลดความอึดอัดคับข้องคุกรุ่นจากปาก และการกระทำของท่านนายกรัฐมนตรีโดยพลันครับ
บริหารราชการแผ่นดินโดยประมาทความรู้สึกของประชาชนไม่ได้เด็ดขาด
ส.ส.ก้าวไกลชงกมธ.ป.ป.ช.สอบอัยการ
นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ.ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าในการประชุมกมธ. วันที่ 29 ก.ค.นี้ จะเสนอต่อที่ประชุมให้ดำเนินการตรวจสอบ กรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา เพราะดูแล้วมีข้อพิรุธมากมายในการสั่งไม่ฟ้อง อะไรเป็นมูลเหตุมาหักล้าง ที่อัยการไปเชื่อพยานบุคคลใหม่ 2 คน ที่มาให้การภายหลังว่า ตำรวจสน.ทองหล่อ เป็นฝ่ายประมาท เปลี่ยนเส้นทางรถไปหารถเฟอร์รารี่ ของนายวรยุทธเอง กมธ.จะตรวจสอบว่า การกระทำของอัยการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
นอกจากนี้ จะเสนอให้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งอัยการสูงสุด ผบ.ตร. และตำรวจที่เกี่ยวข้อง กับการทำคดีทุกคนมาให้การต่อ กมธ. รวมถึงจะพิจารณาขอสำนวนอัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวมาตรวจสอบด้วย
สตม.ถอนชื่อ"บอส"พ้นแบล็กลิสต์
พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (รอง ผบช.สตม.) ในฐานะโฆษกสตม. เปิดเผยกรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส กระทิงแดง”จนต้องนำไปสู่การถอนหมายจับว่า เรื่องระบบตรวจคนเข้าเมืองนั้น เมื่อมีเอกสารหมายจับมาไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ก็ต้องนำเข้าระบบฐานข้อมูลบุคคลต้องห้าม (blacklist)
"เมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว และมีหนังสือให้ถอนหมายจับมาเราก็ต้องถอนออกจากระบบ กรณีนี้สตม.ได้รับหนังสือถอนหมายจับจากสน.ทองหล่อ มาเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางสตม.จึงได้ทำเรื่องถอนหมายจับออกจากระบบแล้ว" โฆษกสตม.ระบุ
พล.ต.ต.สุรพงษ์ กล่าวว่าด้วยว่า ล่าสุดจากการตรวจสอบ ยังไม่พบว่านายวรยุทธ ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย พบแต่ข้อมูลเดินทางออกไปนอกประเทศ ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 เม.ย.60 และยังไม่พบเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกเลย ทั้งนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติม จะแจ้งให้ทราบต่อไป
อสส.ตั้งคณะทำงาน 7คน ตรวจสอบสำนวน
วานนี้ (26ก.ค.) สำนักงานอัยการสูงสุด เผยแพร่เอกสารข่าว โดยนายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนว่า พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นชอบแล้ว โดยข่าวดังกล่าว สื่อมวลชนได้นำเสนอเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น
สำนักงานอัยการสูงสุด ขอชี้แจงว่าเมื่อปรากฏข่าวดังกล่าว อัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่งกำลังปฏิบัติราชการอยู่ในพื้นที่สำนักงานอัยการ ภาค 4 ในการประชุมสัมมนาข้าราชการฝ่ายอัยการในเขตพื้นที่ภาค 4 จ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 23-26 ก.ค.63 จึงทำการตรวจสอบและทราบว่ากรณีที่เป็นข่าว เป็นสำนวน ส.1 เลขรับที่ 107/2556 ของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1
ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า การสั่งสำนวนคดีดังกล่าวเป็นไปตามหลักกฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และมีเหตุผลในการสั่งพิจารณาคดีอย่างไร จึงมีคำสั่งทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ พิเศษ/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีดังกล่าว โดยมีนายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และคณะทำงานอื่น รวมทั้งสิ้น 7 คน ทั้งนี้ ให้คณะทำงานเร่งตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงโดยเร็ว และเมื่อมีผลคืบหน้าประการใด จะได้แจ้งให้บุคลากรสำนักงานอัยการสูงสุด และประชาชนทราบโดยทั่วกัน