**เครือข่ายบิ๊กบราเธอร์มีหนาวจากเดิมทีว่าจะทำให้เงียบที่สุด เพราะไม่มีการแถลงข่าวจากอัยการ แต่เรื่องมาโป๊ะแตกจากสื่อนอก ขบวนการอุ้มบอสจึงโดนชำแหละออกมา งานนี้ไม่ทำให้เคลียร์ ระวังจะพากัน"อยู่ยาก"ทั้งอัยการ และ รัฐบาล**
จากเหตุคดีพลิก อัยการสั่งไม่ฟ้อง บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทอภิมหาเศรษฐีธุรกิจแสนล้านเครื่องดื่มชูกำลัง"กระทิงแดง" ขับรถชนดาบตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต โดยบอส หนีคดี ไปอยู่ต่างประเทศนานหลายปี
ผลจากการอัยการสั่งไม่ฟ้องทำให้หมายจับที่มีของบอสถูกถอนทั้งหมดสามารถเดินทางกลับไทยได้ทันทีในฐานะผู้บริสุทธิ์ แต่ในทางสังคม คดีนี้กลายเป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความยุติธรรม รวมทั้งดราม่าในโลกโซเชียลแสดงความเห็นมากมายโดยนำไปสู่การรณรงค์แบนสินค้าของตระกูล"อยู่วืทยา"
นี่เพราะเหตุผลสั่งไม่ฟ้องของอัยการค้านความรู้สึกของสังคมอย่างยิ่ง ต้องไม่ลืมว่า คดีของบอส อยู่ในความสนใจของประชาชนมาตลอด เพราะความเป็นลูกมหาเศรษฐีและกรณีนี้ไม่ใช่แค่ขับรถโดยประมาทแต่เป็นเรื่องชนแล้วหนีไร้มนุษยธรรมตั้งแต่แรก พอถูกตามจับก็ให้คนในบ้านมารับผิดแทน ขณะที่ผู้ตายเป็นตำรวจจราจรที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ คดีถูกจับตามาตั้งแต่ต้นแต่ก็ล่าช้ายืดยาดกว่า 8 ปีแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างที่เอื้อต่อ Super VIP ที่ทำอะไรมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นๆ หรือไม่ สุดท้ายเกรงว่าจะเป็นไปตามวลีที่บอกว่า"คุกมีไว้ขังคนจน" นั้นจะมาเกิดกับคดีนี้
ว่ากันว่า คดีนี้มีปมอยูหลายจุดที่ยังไม่มีคำตอบแถมหักมุมอย่างน่าสงสัย เช่น พนักงานสอบสวนตั้งประเด็นไว้ว่าเป็นเหตุที่เกิดจากความประมาทร่วมกันของคู่กรณี แต่ท้ายสุด ในสำนวนสั่งคดีของอัยการกลับเห็นเป็นเหตุประมาทของนายดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐแต่ผู้เดียว
ตอนที่ อัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่า มีตำรวจ 2 นาย เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้การเพิ่มเติมเรื่องความเร็วของรถเฟอรารี่แล้วยืนยันว่ารถของบอสขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ไม่ใช่ 177 กม./ชม. บวกลบ แย้งกับพยานผู้เชี่ยวชาญที่เป็นตำรวจเช่นกันเคยให้การไว้ในการสอบสวนครั้งแรก
ว่าด้วยความเร็วรถประเด็นนี้ก็ยากให้สังคมยอมเชื่อได้ว่า เป็นเช่นนั้นโดย รถบอสเป็นซุปเปอร์คาร์คงไม่ใช่เหยียบ 80 เพราะ ขณะที่เกิดเหตุหากขับด้วยความเร็วไม่สูงก็น่าจะควบคุมได้หรือหากมีอะไรตัดหน้าจะต้องสามารถเบรกได้ทัน หรือหากชนก็จะไม่รุนแรง ถึงกับลากร่างนายดาบตำรวจผู้เสียชีวิตไปไกลได้ถึง 200 เมตร
ส่วนที่ข้องใจกันมาก และ ถามไถ่กันไม่ขาดก็คือ พยานบุคคล 2 รายที่เพิ่งโผล่มาให้การเมื่อปลายปีที่แล้ว
โดยก่อนหน้ากว่า 8 ปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนมา และโผล่มาเป๋นพยานที่ว่ากันว่า พลิกคดี ได้เพราะเป็นพยานในที่เกิดเหตุ ซึ่งอัยการให้น้ำหนัก และกลายมาเป็นเหตุที่สั่งไม่ฟ้อง บอส วรยุทธ เพราะ บอสขับรถความเร็วปกติ ตามที่พยานผู้เชี่ยวชาญระบุ และ ตำรวจพยานในที่เกิดเหตุให้การ บอสถูกปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด จึงชนไปโดยเหตุสุดวิสัยไม่ได้ประมาท
เรื่องนี้ อสส.เพิ่งจะขยับตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการสั่งคดีของอัยการว่าเป็นไปตามหลักกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และมีเหตุผลการสั่งพิจารณาคดีอย่างไร ซึ่งก่อนนี้อัยการไม่มีแถลงเกี่ยวกับคดีกลับเป็นสื่อนอกที่ตีข่าวจนกลายเป็นเรื่องของคนไทยมารู้ภายหลัง
พร้อมๆ กันมีหลายๆ เสียงเริ่มดังออกมาเรียกร้องให้ "ลุงตู่" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบโดยด่วนจนในที่สุด ลุงตู่ ก็เคลื่อนไหวสั่งให้ตรวจสอบคดีนี้แล้ว พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดีดังกล่าวตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ถึงขั้นตอนของอัยการว่าเป็นมาอย่างไร พร้อมทั้งรายงานโดยด่วน และ ยืนยันนายกฯ ไม่เคยช่วยเหลือใคร ไม่เคยแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
การที่นายกฯถูกมองเรื่องให้การช่วยเหลือ ประเด็นนี้ก็ห้ามคนไม่ให้คิดยาก ต้องยอมรับกันว่า คดีบอส สังคมเชื่อไปกว่าครึ่งว่า งานนี้ต้องมีเบื้องหลัง หรือมีเรื่องของ "เส้นสาย" มาเกี่ยวข้องหรือไม่ เรื่องพยายามช่วยเหลือ Super VIP อยู่วิทยา เป็นการต่างตอบแทนที่อภิมหาเศรษฐีรายนี้เป็นหนึ่งในนายทุนของนายกฯ เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือให้ช่วยคิดและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากพิษโควิด ซึ่งก็วากันว่ากระทิงแดงก็ช่วยเป็นมูลค่ามหาศาล
อีกหนึ่งปมคาใจ คือ การที่คดีที่หลักฐานหนาแน่นทำท่าจะปิดคดีได้ แต่ทำไมอัยการจึงสั่งสอบสวนเพิ่มจนเป็นที่มาของวันนี้ เพราะ มีความพยายามหาข่องกันมาตั้งแต่ยุคก่อนนี้ เป็นขั้นเป็นตอน และ ตัวละครก็มาเกี่ยวข้องกับผู้มากบารมี "บิ๊กบราเธอร์" แห่งยุคซะด้วย
ว่ากันว่า ที่อัยการหยิบยกคดีมาทบทวนใหม่ เพราะมีผู้ร้องไปยังคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดย คสช. ซึ่งมี "พลเรือเอก ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ" เป็นประธานคณะกรรมาธิการให้มีการสอบสวนเรื่องนี้
ต่อมาคณะกรรมาธิการดังกล่าวได้สอบหาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า บอส-วรยุทธ ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำความผิดจึงทำเรื่องขอความเป็นธรรมถึงอัยการสูงสุด โดยอัยการเด้งรับมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบข้อเท็จจริงเพิ่ม นี่เป็นจุดเริ่มที่ต่อเนื่องกันมา
สุดท้ายจะอย่างไรก็ตาม ถ้าการตรวจสอบหาความจริงคดีนี้ไม่ได้คำตอบที่รับได้ เพราะกระแสสังคมเวลานี้ต่างเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับกันอาจจะพลอยทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
ยิ่งเมือเปรียบเทียบกับกรณีใกล้เคียงกัน เช่น คดีเสี่ยเบนซ์เมาแล้วขับชนนายตำรวจและภรรยาเสียชีว้ตแม้จะยอมรับและรับผิดชอบชดใช้เงินเยียวยากว่า 45 ล้าน โดยที่กระแสสังคมรู้สึกถึงความสำนึกผิดของเสี่ยเบนซ์ได้แต่อัยการก็ยื่นอุทธรณ์ให้ศาลสั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญา
พูดง่ายๆ ว่า คดีบอสจบ คดีเสี่ยเบนซ์ไม่จบ มาตรฐานอัยการเป็นที่สงสัยจินตนาการกันได้เลยว่า ความรู้สึกคับแค้นข้องใจของคนไทยจะมากมายแค่ไหน
คดีของบอสจากกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง กดดันลุงตู่ให้ต้องทำความจริงให้กระจ่างปราศจากข้อสังสัยโดยเร็ว
ไม่เช่นนั้น จาก"อยู่วิทยา" ปล่อยให้ประชาชนวาประเทศนี้รู้สึกว่า "อยู่ไม่ได้" "อยู่ไม่เป็น" ลุงตู่และอัยการจะมีปัญหา"อยู่ยาก" นะงานนี้.
**“3 ลุง” พึงสำเหนียก ซูเปอร์โพลเผยคนส่วนใหญ่อยาก เปลี่ยนผู้บริหารประเทศ ถ้าเลือกตั้งจะกาให้พรรคใหม่ ไม่ทรยศประชาชน
**“3ลุง”พึงสำเหนียก ซูเปอร์โพลเผยคนส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนผู้บริหารประเทศ ถ้ามีเลือกตั้ง จะกาให้พรรคใหม่ ไม่หักหลังกัน ไม่เสร็จนาฆ่าโคถึก ไม่ทรยศประชาชน
ณ จุดนี้ ต้องเรียกว่าคะแนนนิยมในรัฐบาลที่นำโดย “3 ลุง” นำโดย "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ "ลุงป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กำลังดิ่งลงอย่างหนัก ท่ามกลางวิกฤตปัญหาที่ถาโถมเข้ามารอบด้าน ยิ่งเมื่อได้เห็นผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดย “สำนักวิจัยซูเปอร์โพล”ล่าสุดก็ยิ่งน่าใจหาย
ผลสำรวจภาคสนามของ “ซูเปอร์โพล”ที่ "นพดล กรรณิกา" ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำมาเปิดเผย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ในหัวข้อเรื่อง “เลือกตั้งวันนี้ กาให้พรรคใด”พบว่า เมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนหลังจากนึกถึงภาพผู้บริหารประเทศ ส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 67.9 อยากให้เปลี่ยนแปลงร้อยละ 52.4 รู้สึกหดหู่ใจ และ ร้อยละ 57.7 รู้สึกไม่สง่างาม
ที่น่าเป็นห่วงคือ ความเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 63.6 เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่ “ม็อบเยาวชน”จะลุกลามบานปลายเป็นวิกฤตการเมือง มีเพียงร้อยละ 36.4 ที่เห็นว่าเป็นไปไม่ได้
ที่น่าสนใจคือ เมื่อสอบถามว่า ถ้าเลือกตั้งวันนี้ จะกาให้ส.ส.พรรคใด ปรากฏว่า ร้อยละ 32.8 จะกาให้พรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่ทรยศหักหลัง ไม่เสร็จนาฆ่าโคถึก ไม่หลอกหลวงประชาชน ขณะที่ ร้อยละ 23.8 จะกาให้พรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย เสรีรวมไทย เป็นต้น
ส่วนพรรคฝ่ายรัฐบาล มีคนจะกาให้เพียงร้อยละ 16.7 ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น ที่เหลือร้อยละ 26.7 บอกว่า ยังไม่ตัดสินใจ และไม่เลือกใครเลย
จะว่าไปแล้ว ผลสำรวจของ“ซูเปอร์โพล”ครั้งที่ผ่านๆมา ส่วนใหญ่ล้วนให้ภาพเชิงบวกแก่รัฐบาล“ลุงตู่”มาตลอด แต่ผลโพลชิ้นล่าสุดนี้ กลับให้ผลตรงกันข้าม ก็ไม่รู้ว่า ทั้ง “3ลุง”ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศเวลานี้ จะได้สำเหนียกอะไรบ้างหรือเปล่าหนอ...