xs
xsm
sm
md
lg

จะรวมไทยสร้างชาติ โปรดฟังทางนี้ก่อนท่านผู้นำ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


เสียงเรียกร้องให้ “รวมไทยสร้างชาติ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเหมือนสายลมที่ผัดผ่าน เหมือนภาพวาดอันสวยหรูที่เกิดจากจินตนาการมากกว่าความเป็นจริง ในขณะที่สังคมไทยยังมีความแตกแยกแบ่งเขาแบ่งเรา และมีคนอีกครึ่งหนึ่งของประเทศมองรัฐบาลด้วยสายตาที่ชิงชัง เขามองรัฐบาลเป็นศัตรูที่ต้องโค่นล้มทำลายและอาจบานปลายกลายเป็นวิกฤตอื่นๆ ตามมา

แต่ถ้าเราย้อนมองกลับไปในอดีตที่ไม่ไกลเกินไป ช่วงระยะ 30-40 ปีมานี้ คนไทยก็เคยมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งเข้าป่าจับมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคนอกกฎหมายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ วันนั้นคนไทยจับปืนประหัตประหารกันมีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก

ความขัดแย้งของคนในชาติและภยันตรายของชาติบ้านเมือง ณ เวลานั้น หนักหนากว่าเวลานี้มาก เพราะต้องการล้มล้างเปลี่ยนแปลงระบอบกันเลยทีเดียว มีการเผาทำลายสถานที่ราชการ มีการดึงต่างชาติเข้ามาร่วมมือกันล้มล้างแผ่นดินเกิดของตัวเอง

จากนั้นไม่นาน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็นำความสามัคคีกลับมาสู่สังคมไทย มีผู้เข้าป่าจับปืนกลับคืนสู่เมืองมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยด้วยนโยบาย 66/2523

คำสั่งนี้เป็นแนวคิดของ พล.อ.เปรมตั้งแต่ยังเป็นรองแม่ทัพภาค 2 หลังจากเริ่มตระหนักว่าวิธีการปราบปรามอย่างเดียวไม่น่าจะได้ผล ต้องใช้วิธีต่อสู้ทางความคิด และดึงเอาประชาชนมาเป็นฝ่ายเดียวกับราชการ กระทั่งเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก หลังจากนั้น 1 เดือน ในวันที่ 23 เมษายน 2523 จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523ออกมา

ประเทศไทยที่กำลังจะกลายเป็นโดมิโน่ตัวสุดท้ายที่ใกล้จะล้มลง ตั้งหลักมั่นรอดพ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เข้ายึดครองทุกประเทศในอินโดจีนไปหมดแล้ว ด้วยสิ่งที่เรียกว่าการให้อภัยแล้วหันหน้ามาสามัคคีกันของคนไทยในชาติ จากนั้นนักศึกษาที่เข้าป่าหลายคน กลับเข้ามาทำงาน เข้ามาศึกษาต่อจนหลายคนกลายเป็นหลักของชาติในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยจนถึงทุกวันนี้

และเวลาต่อมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษของชาติ

วันนี้มีการกล่าวถึง พล.อ.เปรมในทำนองว่า พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เปรมโมเดลในการกำหนดโควตารัฐมนตรี คือใช้ โควตากลางก่อนที่เหลือพรรคต่างๆ เอาไปแบ่งกันตามสัดส่วน ผมคิดว่า ก็เป็นทางออกที่ดี เพราะหมดยุคแล้วในการเอา ส.ส.มานั่งรัฐมนตรีเพราะมีบารมีหรือมีพรรษาทางการเมือง แต่ไร้ความสามารถในกระทรวงที่เข้ามาบริหาร

แต่หนทาง “เปรมโมเดล” ที่จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการกล่าวขานมากกว่านี้ คือ การสร้างความปรองดองขึ้นมาในชาติให้ได้โดยการให้อภัยคนที่เข้ามากระทำผิดเพราะการชุมนุมทางการเมือง เพื่อให้ทุกคนกลับมารวมไทยสร้างชาติในปรารถนาที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องการ แบบที่ พล.อ.เปรม เคยใช้นโยบาย 66/2523เพื่อนิรโทษกรรมทางการเมืองมาแล้วในอดีต

เพราะถ้าความบาดหมางของคนในชาติยังคงอยู่ ไม่มีทางเลยที่จะรวมไทยสร้างชาติได้ ต้องทำให้การแบ่งเขาแบ่งเราพวกเขาพวกเราที่ฝังอยู่ในใจลึกของคนไทยทั้งสองฝ่ายมลายหายไป ทำให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้มองฝ่ายไหนเป็นศัตรูและเชื่อมั่นว่า ทุกคนที่ออกมาชุมนุมทางการเมืองด้วยการแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิตนั้นล้วนแล้วแต่มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองและเชื่อมั่นว่าเพราะพวกเขามองเห็นความผิดปกติของบ้านเมืองที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงจึงต้องออกมาชุมนุม

นอกจากนั้นรัฐบาลต้องขจัดเหตุแห่งความไม่เป็นธรรมในสังคมทุกระดับตั้งแต่ท้องถิ่นถึงระดับชาติ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการอย่างเฉียบขาด สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม และใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม

แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อให้ทุกฝ่ายกลับมาแข่งขันกันบนกติกาที่เท่าเทียมกัน

นั่นหมายถึงว่า จะต้องแก้ไขในประเด็นสำคัญคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญลดอำนาจของ ส.ว.ลงในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะ ส.ว.ชุดนี้เป็น ส.ว.ที่ คสช.ตั้งมา ทำให้ไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองอื่น เมื่อหมดวาระรัฐบาลชุดนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากพล.อ.ประยุทธ์จะยังคงเป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วยังได้รับเสียงโหวตในสภาจะได้ก้าวเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีที่สง่างาม และถึงวันนั้นใครจะเรียกว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจก็คงไม่ได้เพราะจะมีความชอบธรรมอย่างแท้จริง

สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์อาจจะต้องทำอีกก็คือ การปฏิรูปการเมืองให้การเมืองพ้นจากการเมืองที่โสมม การเมืองที่กลายเป็นแหล่งเข้ามาหาผลประโยชน์ของนักเลือกตั้ง ทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นที่นั่งของคนที่มีความรู้ความสามารถซื่อสัตย์สุจริตมากกว่าลาภยศตอบแทนผลประโยชน์ของนักเลือกตั้งที่ไร้ความรู้ความสามารถ

ทำให้การเมืองเกิดความมั่นคง เพราะถ้าการเมืองมั่นคงก็จะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของประเทศ ซึ่งส่งผลต่อมาในการพัฒนาประเทศรวมถึงผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อต่างชาติและนักลงทุนเพราะมีความชัดเจนของนโยบายประเทศที่ไม่ปรับเปลี่ยนไปมา

ดังนั้นระบอบประชาธิปไตยที่มีความเท่าเทียมกัน กติกาทางการเมืองที่ยุติธรรมควรจะเป็นด่านแรกที่จะนำประเทศไทยออกมาจากความบาดหมางมาสู่ความสามัคคีรวมไทยสร้างชาติ

เพราะถ้าไม่ลบความบาดหมางในชาติให้หมดไป ไม่มีวันที่จะรวมไทยสร้างชาติได้เลย ถ้าคนในชาติยังมองคนที่มีความเห็นทางการเมืองต่างๆ เป็นศัตรู ต่างด่าทอเหยียดหยามกันว่า แนวคิดทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชาติบ้านเมือง มองฝ่ายหนึ่งว่า ฝักใฝ่เผด็จการ มองฝ่ายหนึ่งว่าสนับสนุนคนโกงบ้านโกงเมือง หรือยังมีความพยายามสร้างความเกลียดชังแบ่งแยกชนชั้นของคนในสังคม

จากผลการเลือกตั้งต้องยอมรับว่า คนสองฝั่งสองความคิดในบ้านเมืองเราขณะนี้มีกำลังที่ก้ำกึ่งกัน มีความเปราะบางมากที่ความขัดแย้งจะกลายเป็นการลุกขึ้นห้ำหั่นกันบนท้องถนนอีกคำรบ ถ้าไม่สามารถหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้

นอกจากนั้นทุกวันนี้ยังมีปัญหาเรื่องช่วงวัย คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตเป็นอนาคตของชาติจำนวนมากเขาไม่ยอมรับรัฐบาลที่มีที่มาจากการสืบทอดอำนาจ เขาเรียกร้องความเท่าเทียมเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง เขาต้องการกติกาในการแข่งขันที่เป็นธรรม เราเห็นได้ว่า คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลายเป็นแนวร่วมที่สำคัญกับมวลชนฝั่งที่มองว่ารัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่เขาไม่ปรารถนา

ปัญหาเรื่องความแตกต่างทางความคิดของคนต่างช่วงวัยนั้น เป็นปัญหาใหญ่เป็นปัญหาสำคัญ ถ้านับวันคนเหล่านี้เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คนเก่าชราล้มหายไป คนรุ่นใหม่ก็มีแต่วันจะเพิ่มพูนขึ้นแนวคิดที่พวกเขาปลูกฝังกันมาอาจกลายเป็นมหันตภัยที่พลิกผันความเปลี่ยนแปลงในชาติไปอย่างไม่คาดฝันได้

ที่สำคัญจะเห็นได้ว่า สถานการณ์ของโลกวันนี้ สถานการณ์ของโรควันนี้ เราหมดเวลาแล้วที่จะบาดหมางรบรากันเองในชาติ เพราะวิกฤตต่างๆ กำลังโถมเข้าใส่อย่างรุนแรงเกินกว่าที่จะรับมือ

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เราต้องมีความคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน มีความคิดต่อแนวทางที่จะพาชาติก้าวไปข้างหน้าที่เหมือนกัน แต่เราต้องแข่งขันบนกติกาที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนยอมรับผลการแข่งขันเมื่อผลการเลือกตั้งแพ้ชนะลง ให้ทุกคนยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และร่วมไม้ร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันในการช่วยกันตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลให้อยู่ในร่องในรอย ไม่ใช่กลายเป็นกองเชียร์กับกองแช่งรัฐบาลเหมือนทุกวันนี้

แม้ว่าอย่างไรเสียรัฐบาลนี้ซึ่งมีมวลชนกลุ่มหนึ่งหนุนหลังมีกองทัพเป็นผนังทองแดงวันนี้นาวารัฐบาลประยุทธ์พ้นจากภาวะเรือปริ่มน้ำไปแล้ว แต่จากการสำรวจพบว่าความนิยมของรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์กำลังลดลงอย่างน่าใจหาย เพราะสภาพภายในพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลแย่งชิงชามข้าวกันจนสร้างความเอือมระอาให้กับประชาชน

เกิดคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยอมจำนนต่อเสือสิงห์กระทิงแรดในพรรคหรือไม่ หรือใช้ความเข้มแข็งเพื่อแสดงให้เห็นว่า ยึดเอาผลประโยชน์ของชาติมากกว่า เพื่อเรียกร้องศรัทธาต่อประชาชนที่หายไปกลับคืนมา แล้วก้าวเดินไปสู่ความเป็นผู้นำของประชาชนอย่างไม่เรื่องฝักฝ่ายที่แท้จริงด้วยการลบร้อยร้าวความบาดหมางในชาติลงไม่มองว่าฝ่ายไหนเป็นมิตรหรือศัตรูทางการเมือง

ก้าวย่างของ พล.อ.เปรมในการเป็นรัฐบุรุษนั้นมองเห็นอยู่แล้ว อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์พร้อมจะก้าวตามหรือไม่ แม้อาจจะไม่ทำให้มวลชนฝ่ายตรงข้ามกลับมานิยมชื่นชมศรัทธาได้ แต่การมุ่งมั่นที่จะทำให้คนในชาติสามัคคีนั้นต่างหากที่จะทำให้สังคมกล่าวขาน และลดเงื่อนไขที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นปัญหาหนึ่งของชาติเสียเองอย่างทุกวันนี้ลงไป

บทเรียนจากนโยบาย 66/2523บทเรียนจากการเมืองในอดีตเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่จะพา พล.อ.ประยุทธ์ออกจากปลายถ้ำที่ดำมืดทางการเมือง ต้องมองให้ออกว่า ความเห็นต่างของสองฝั่งความคิด การออกมาชุมนุมบนถนน แม้จะเกิดความสูญเสียต่อประเทศไปบ้าง แต่คนเหล่านั้นไม่ใช่อาชญากร พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่า มีความปรารถนาดีและความรักต่อชาติบ้านเมืองมากกว่าการนิ่งดูดาย

แต่ถ้าบาดแผลและความแค้นเคืองในใจของประชาชนยังอยู่ มองไม่เห็นความเท่าเทียมและความยุติธรรมที่เสมอภาคกัน ยังมีกติกาทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่มีวันหรอกที่จะร้องหาการปรองดองของคนในชาติได้

ถ้าจะรวมไทยสร้างชาติ ถ้าจะให้เกิดความปรองดองขึ้นมาในชาติ ถ้าจะลบบาดแผลความบาดหมางลง คนที่จะเริ่มและจะพาประเทศไทยออกไปนั้นต้องเริ่มที่คนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่เสียงเรียกร้องของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อบุคคลอื่น

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan





กำลังโหลดความคิดเห็น