xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งใกล้ 3 พฤศจิกายน ทรัมป์ยิ่งอัดจีนถี่ยิบ

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ
“ใช่เลย เป็นฝีมือผมเอง ที่ได้โน้มน้าวรัฐบาลอังกฤษไม่ให้ใช้บริการหัวเว่ย...เพราะเราเชื่อว่ามันไม่ปลอดภัย และเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างร้ายแรง” เป็นคำพูดของปธน.ทรัมป์ ภายหลังจาก ครม.อังกฤษออกมาประกาศเมื่อต้นอาทิตย์นี้ว่า ตั้งแต่ 1 มกราคมปีหน้า (2021) จะไม่ให้บริษัทในอังกฤษสั่งอุปกรณ์ 5 G ของหัวเว่ยเข้ามาอีกต่อไป และสำหรับที่ได้ติดตั้งประปรายตามส่วนต่างๆ ของอังกฤษแล้ว จะต้องทยอยค่อยๆ รื้อถอนออกไปภายใน 7 ปี

นี่เป็นผลงานล่าสุดของทรัมป์ในการสาดกระสุนใส่จีน ซึ่งได้เริ่มทำอย่างถี่ยิบหลังจากเดือนเมษายนนี้เอง ที่เริ่มมียอดคนติดเชื้อและคนตายในสหรัฐฯ ด้วยโรคโควิด-19 สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าวิตก

ทั้งๆ ที่ในช่วงกุมภาพันธ์ ทรัมป์ยังออกมาสรรเสริญชื่นชมปธน.สี ว่า สีมีความสามารถอย่างยิ่งที่จะจัดการโรคโควิด-19 ที่อู่ฮั่นได้สำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย...เพราะในช่วงนั้นทรัมป์ต้องป้อยอปธน.สี เพื่อหวังให้จีนทำตามข้อตกลงพักรบสงครามการค้า ซึ่งเพิ่งได้ลงนามในเดือนมกราคมนี้เอง ที่จีนแสดงเจตนารมณ์จะซื้อสินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง, ข้าวสาลี, หมู, ไก่ เป็นต้น) จำนวนถึง 2.5 แสนล้านเหรียญ

ในเดือนพฤษภาคม ทรัมป์ก็ได้ออกคำสั่งห้ามบริษัทชิปอเมริกัน (เช่น ควอควั่ม) ขายชิปให้แก่หัวเว่ย (หลังจากได้ผ่อนปรนมายาวถึง 6 เดือน เพราะบริษัทชิปอเมริกันมีรายได้ลดลงวูบวาบ เมื่อทรัมป์สั่งห้ามขายให้หัวเว่ยตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว...เมื่อถูกกดดัน ทรัมป์ก็ยอมผ่อนปรนให้ 6 เดือน)

เหตุผลที่ทรัมป์ยกมากดดัน 4 ประเทศใน Five Eyes (ที่แชร์ข้อมูลข่าวกรองอย่างลึกซึ้ง) คือ หัวเว่ยรับใช้รัฐบาลจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ) เพราะในนาทีคับขันแล้วอุปกรณ์ของหัวเว่ยจะต้องรับใช้รัฐบาลจีนในที่สุด ซึ่งมี 3 เรื่องที่อเมริกากล่าวหาว่าหัวเว่ยอันตรายคือ Spy, Steal และ Attack และข่มขู่ที่จะไม่ให้ข้อมูลข่าวกรองลึกซึ้งกับอีก 4 ประเทศใน Five Eyes ซึ่งขณะนี้เหลือแต่นิวซีแลนด์เท่านั้น ที่ยังไม่ได้คว่ำบาตร 5G ของหัวเว่ย

ส่วนเรื่องโควิด-19 นั้น ทรัมป์อัดจีนเต็มๆ ว่ามีแผนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลกพังพาบ รวมทั้งทำให้คนอเมริกันตาย (เกือบ 1.5 แสนคน ณ วันนี้) มโหฬารและฟาดงวงฟาดงาไปถึง WHO ว่า สมคบกับจีนจนทำให้เชื้อโรคลุกลามใหญ่โต โดยงดเงินช่วยเหลือและถอนสมาชิกภาพจาก WHO

เรื่องกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ที่ปักกิ่งผ่านสภาก็ถูกทรัมป์ (โดยลูกคู่ได้แก่ รมต.ต่างประเทศ ปอมเปโอ) ออกคำสั่งบริหาร (Executive Order) ยุติให้สถานะพิเศษต่อฮ่องกง (14 ก.ค.) ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถอายัดทรัพย์สินในสหรัฐฯ ของบุคคลในฮ่องกงที่มีส่วนรับผิดชอบหรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำหรือนโยบายที่บั่นทอนกระบวนการหรือสถาบันประชาธิปไตยของฮ่องกง รวมทั้งเพิกถอนใบอนุญาตส่งออกเป็นกรณีพิเศษไปยังฮ่องกง ซึ่งมีพวกสินค้าไฮเทค เป็นต้น ฯลฯ

เรื่องการขยายอิทธิพลของกองทัพจีนในน่านน้ำ (และน่านฟ้า) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น รมต.ต่างประเทศ ปอมเปโอ ได้ออกโรงในอาทิตย์นี้เอง ประกาศว่าจีนทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกำลังรุกล้ำอธิปไตยของประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่ได้แสดงตนเป็นเจ้าของเกาะแก่งที่อุดมด้วยทรัพยากร ทั้งน้ำมัน, แก๊ส, ปลาชุกชุม และกล่าวหาว่า จีนฉวยโอกาสที่ทั้งโลก (โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป) กำลังสาละวนกับการสกัดกั้นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยจีนได้ขยายอิทธิพลด้วยการซ้อมรบในดินแดนเหล่านั้น

ขนาดผอ.คนใหม่ (ที่ทรัมป์เพิ่งตั้งเข้าไปแทนคนเก่าที่เขาปลดออกกลางอากาศ) ของเอฟบีไอ ก็ออกมากล่าวโจมตีจีนอย่างสาหัสว่าเป็นอันตรายต่อสังคมโลก

รวมทั้งผู้แทนการค้า USTR นายปีเตอร์ นาวาโร ก็ออกมาอัดจีนแบบเปิดหน้าชกทีเดียว ในบทความเขียนลง USA Today เมื่อวานนี้

และสหรัฐฯ ก็คว่ำบาตรบุคคลและบริษัทจีนที่ลิดรอนเสรีภาพของชาวอุยกูร์ที่ซินเกียง ที่จัดทำค่ายล้างสมองและทรมานชาวอิสลามเหล่านั้น

จีนก็ได้แต่ตอบโต้แบบตั้งรับซื้อเวลา และอาจกำลังรอผลเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายนว่า ทรัมป์อาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ ซึ่งบรรยากาศน่าจะเปลี่ยนแปลงไปถ้าโจ ไบเดน ชนะได้เป็นปธน. เพราะแม้ไบเดนจะต้องลู่ตามแรงกระพือของทรัมป์เรื่องจีน แต่เขาได้เคยร่วมกับโอบามา ในการร่วมมือกับจีน (ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ) ทั้งในเรื่องโลกร้อน เรื่องอิหร่าน รวมทั้งการร่วมกันแก้ไขวิกฤตการเงินที่ทำให้เกิดการถดถอยใหญ่ในสหรัฐฯ (The Great Recession) ปี 2008-2009

เป็นการใช้กลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้ง ที่ทรัมป์หวังปลุกเร้าฐานเสียง (เดิม) ให้ต้องออกจากบ้านมาลงคะแนน เพื่อแน่ใจว่าทรัมป์จะได้กลับมาอีกครั้ง และจะได้ต่อกรกับจีนให้ชนะให้ได้ ซึ่งก็มีลักษณะคล้ายๆ กับที่เขาเคยเริ่มโหนกระแสเกลียด (กลัว) จีนไว้ตั้งแต่ปี 2015 จนนำพาให้เขาเข้าทำเนียบได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ครั้งนี้ เขายังมีเรื่องการปลุกเร้าให้คนอเมริกันผิวขาว (ชายส่วนใหญ่วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี) ให้เกลียด (กลัว) คนผิวสี (ดำและน้ำตาล) ให้มาออกเสียงให้ทรัมป์ ก่อนที่พวกผิวสี (ที่สนับสนุนไบเดน) จะออกเสียงจนไบเดนชนะ และทำให้พวกผิวขาว (ของทรัมป์)มีชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัย

ทรัมป์โหมหนักสร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกในสหรัฐฯ เพราะขณะนี้คะแนนตามการสำรวจโพลต่างๆ สะท้อนว่า เขากำลังตามหลังไบเดนด้วยเลข 2 หลัก และต่างกับสมัยทรัมป์แข่งกับฮิลลารี เพราะตอนนั้นฮิลลารี มีคะแนนนำทรัมป์แค่ 2-3% และเธอได้คะแนนนิยมไม่ถึง 50%...แต่ครั้งนี้คะแนนของไบเดนสูงเกิน 50% (กรณีจัดการกับโควิด-19 ทรัมป์ได้คะแนนต่ำมากแค่ 37% เท่านั้น) และไบเดนนำทั้งใน National Polls และในรัฐ Battleground States ที่เคยส่งทรัมป์ให้ชนะด้วยซ้ำ โดยนำด้วยเลข 2 หลัก บางรัฐถึง 20% ทีเดียว!

ทรัมป์เพิ่งปลดผอ.หาเสียง น่าจะเป็นเพราะภายในคณะหาเสียงกำลังระส่ำระสายหนักจากผลโพลที่กำลังถล่มทรัมป์ขณะนี้

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน


กำลังโหลดความคิดเห็น