xs
xsm
sm
md
lg

อวสานอเมริกา (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


แลร์รี คัดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว
อย่างที่ว่าไปแล้วเมื่อวานนี้...ว่าการที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะอยู่หรือไป รอด-ไม่รอด คงไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องใหม่ หรือเรื่องที่น่าตื่นเต้น ตกใจ อะไรมากมายนัก แต่ด้วยเหตุเพราะ “ปัญหา” แต่ละระลอกที่สาดซัดเข้าใส่ประเทศอเมริกา สังคมอเมริกันในช่วงหลังๆ นี้ ซึ่งออกจะหนักหนาสาหัส ระดับ “วิกฤต” ไปด้วยกันทั้งนั้น ทำให้บรรดาผู้สังเกตการณ์จำนวนไม่น้อย รวมทั้งในประเทศอเมริกาเอง ต่างหันมาตั้งคำถามถึงการอยู่-การไป การรอด-ไม่รอด ของประเทศอเมริกาและสังคมอเมริกันกันแทนที่...

ไล่เรียงมาตั้งแต่ปัญหาการเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ ที่นับวันจะไปไกล ไปแบบกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ยิ่งเข้าไปทุกที ส่งผลให้กระแสการลุกฮือตามแบบฉบับ “Black Lives Matters” ยังคงหัวไม่ตกอยู่จนทุกวันนี้ ยังแพร่กระจายไวรัสแห่งความรู้สึกไปทั่วทั้ง 50 รัฐ เมืองต่างๆ อีกกว่า 400 เมือง จนเกิดการไล่รื้อ “อนุสาวรีย์” ต่างๆ กันชนิดรายแล้ว รายเล่า ไม่ว่าระดับ “บิดาแห่งชาติอเมริกา” อย่างอนุสาวรีย์ “จอร์จ วอชิงตัน” อนุสาวรีย์อดีตประธานาธิบดี “โธมัส เจฟเฟอร์สัน” “แอนดรูว์ แจ็กสัน” “ธีโอดอร์ รูสเวลท์” ฯลฯ ชนิดใครก็ตามที่ถูกกล่าวหา หรือถูกลากเข้ามาเกี่ยวโยง พัวพันกับการค้าทาส ใช้ทาสผิวดำ ในยุคอดีตต่างโดนรื้อ โดนโค่น ลงมานอนกลิ้ง นอนหงายกันไปเป็นแถบๆ แม้แต่ผู้ที่เคยต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยทาส...เผลอๆ ยังถูกลูกหลงเข้าไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เช่นนายทหารฝ่ายเหนือที่เคยพลีชีวิตในสงครามเลิกทาสระหว่างสู้กับฝ่ายใต้ อย่าง “พันเอกHans Christian Heg” ไปจนถึงกระทั่งอดีตประธานาธิบดี “อับราฮัม ลินคอล์น” ผู้เป็นต้นฉบับการประกาศเลิกทาสในอเมริกาแท้ๆ ยังพลอยต้องซวยไปด้วย...

ล่าสุด...แม้กระทั่งอนุสาวรีย์กวางเอลก์ (Elk Statue) ที่ไม่น่าจะรู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับมนุษย์รายใด ชาติใด เผ่าใด เอาเลยแม้แต่น้อย ตั้งอยู่ ณ เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของ “นายDavid P. Thompson” เมื่อปี ค.ศ. 1900 เพื่อระลึกถึงบรรดาฝูงกวางที่เคยมีอยู่มากมายในพื้นที่แถบนี้อะไรประมาณนั้น จู่ๆ ยังถูกจุดไฟเผาซะวอดวาย เมื่อพวก “Black Lives Matters” ตีความว่าเป็นอนุสาวรีย์ของพวกนิยมผิวขาว หรือพวกที่เคยใช้แรงงานทาส เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (2 ก.ค.) ที่ผ่านมา หรือแม้แต่ “สนามบินจอห์น เวย์น” ที่ตั้งชื่อตามดาราหนังคาวบอยรุ่นเก่า คุณปู่ “จอห์น เวย์น” (John Wayne) ก็ตกเป็นเป้าหมายการหัก การโค่น ของพวก “Black Lives Matters” อีกเช่นกัน อันเนื่องมาจากเหตุที่ดารารุ่นคุณปู่รายนี้ เคยเผลอไปให้สัมภาษณ์นิตยสาร “เพลย์บอย” ช่วงขณะที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ว่าตราบใดที่ชาวผิวดำยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอจนเรียนรู้ถึงความผิดชอบ ตราบนั้นตัวเองยังคงเชื่อในความเป็น “White Supremacy” ต่อไปเรื่อยๆ เฉพาะคำพูดแค่ไม่กี่คำเท่านี้ ก็พอที่จะถูกหยิบมาเป็นเงื่อนไข เหตุปัจจัย ให้ลุกฮือกันไปโดยตลอด...

อีกปัญหาในระดับวิกฤต...ก็คือปัญหา “เศรษฐกิจอเมริกา” นั่นเอง แม้ว่าช่วงล่าสุด หรือช่วงวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะออกมาป่าวประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร หลังการกลับมา “รีโอเพน” เศรษฐกิจอเมริกากันใหม่ ว่าเพิ่มขึ้นไปถึง 4.8 ล้านตำแหน่ง จน “ทรัมป์บ้า” ต้องรีบคว้าเอามาหาเสียง หาคะแนนนิยม แบบทันที-ทันใด ถึงขั้นสรุปว่า “เศรษฐกิจของเรากำลังจะกลับมาพร้อมกับเสียง...คำราม” อะไรทำนองนั้น แต่ก็อย่างที่สื่อทางการของจีน “Global Times” เขาได้ตั้งข้อสังเกต และได้เตือนๆ ไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนาฯ ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “World should get ready to weather a gloomier US economy in H2” หรือโลกควรเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการรับมือกับสภาพอันสิ้นหวังของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในครึ่งปีหลัง...

คือโดยน้ำหนักของเหตุผล ข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่สื่อทางการของจีนเขาหยิบมาไล่เรียงให้เห็นเป็นฉากๆ นั้น ออกจะน่าเชื่อ น่าเป็นจริง เป็นจัง กว่าคำคุยโม้ คุยโต ไม่ว่าของประธานาธิบดีอเมริกัน หรือที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว อย่าง “นายแลร์รี คัดโลว์” ที่เคยคุยๆ ไว้ล่วงหน้า ว่าเศรษฐกิจอเมริกาหลังการ “รีโอเพน” จะปรากฏรูปร่างออกมาในลักษณะ “V-shaped” ภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อะไรทำนองนั้น เพราะการรีโอเพนแบบไม่คิดจะสวมหน้ากาก ไม่คิดจะเว้นระยะห่าง ตามแบบฉบับอเมริกันชนทั้งหลาย กลับทำให้ตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” ในอเมริกาพุ่งพรวดๆ พราดๆ ระดับปรอทแตก เพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่น 5 หมื่นคนต่อวันไปแล้วจนทำให้รัฐต่างๆ ไม่ว่าเท็กซัส ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย ฯลฯ ต่างต้องหันมาปิดบาร์ ปิดผับ กันอีกรอบ หรือต้องหันมารับมือกับ “การระบาดระลอก 2” ที่อาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในอเมริกา พุ่งขึ้นไปในระดับวันละ 100,000 คน หรือเกินกว่านั้น ดังที่ผู้เชี่ยวชาญ อย่าง “ดร.แอนโทนี เฟาซี” ท่านได้คาดคะเนไว้ก่อนล่วงหน้า...

แต่ด้วยความพยายามที่จะหาทางทำให้ “เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง” ดูดีให้มากๆเข้าไว้ เพื่อให้สอดคล้องรองรับกับสถานการณ์เลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึง “Global Times” เขาเลยสรุปว่า รัฐบาลอเมริกันคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องหาทางผลักดันให้เกิดการอัดฉีดเงิน พิมพ์เงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบกันอีกระลอกแล้ว ระลอกเล่า และนั่นเอง...ที่ทำให้โลกทั้งโลก ควรต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะถ้าหากเงินตราสกุลหลักของโลกอย่างเงิน “ดอลลาร์อเมริกัน” กลายสภาพเป็นกระดาษเช็ดก้น หรือกลายเป็นแบงก์กงเต๊กขึ้นมาเมื่อไหร่ โลกทั้งโลกหนีไม่พ้นต้อง “ซวย” ไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...

ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง...ที่อาจไม่ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันสักเท่าไหร่นัก ก็คือ “แนวคิด” หรือ “วิธีคิด” ของบรรดาอเมริกันชนรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังแสดงออกอยู่ในช่วงระหว่างนี้ ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่ “สุดโต่ง” หรือ “สุดสวิง” ยิ่งเข้าไปทุกที และกำลังก่อให้เกิด “ขบถสังคม” ที่หนักหนาสาหัส ยิ่งไปกว่า “ยุคซิกส์ตี้” หรือ “ยุคฮิปปี้” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ไม่ว่าการออกมานำเสนอเรียกร้องให้ “เปลี่ยนธงชาติ” และ “เปลี่ยนเพลงชาติ” ของบรรดาคนรุ่นใหม่ในเว็บไซต์ “Change.org” ที่มีเด็กๆ และเยาวชนตามไป “กดไลค์” กันเป็นล้านๆ หรือถึง 1.09 ล้านราย เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าทั้งธงชาติและเพลงชาติอเมริกา เป็นอะไรที่ล้าสมัยและน่าเกลียดเอามากๆ โดยเฉพาะเพลงชาติ (The Star-Spangled Banner) นั้น ถูกแต่งขึ้นโดยผู้นิยมผิวขาว หรือพวกเหยียดทาสเหยียดผิว อย่าง “นายFrank Scott Key” ที่ควรเลิกๆ ได้แล้ว ขณะที่คนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม “รื้อทิ้งอดีต-สร้างสรรค์ปัจจุบัน” (Abolish the Present/Reconstruct the Future) ก็ถึงขั้นแบกเครื่องประหาร “กิโยติน” ไปวางไว้หน้าสำนักงานบริษัท “อะเมซอน” เพื่อแสดงความชิงชัง รังเกียจ อภิมหาเศรษฐีอย่าง “นายเจฟฟ์ เบซอส” ผู้รวยเอาๆ ระหว่างที่คนจนในอเมริกากำลังเพิ่มขึ้นๆ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่กำลังทำให้ “สงครามทางวัฒนธรรมกลางเมือง” หรือกลางประเทศอเมริกา กลายเป็นตัวส่งผลให้ความเป็นเอกภาพ ความเป็นชาติ ไปจนกระทั่งความเป็นตัวตนของชาวอเมริกัน กำลังแตกสลายลงไปอย่างแทบไม่เหลือชิ้นดี...

หรือทำให้สิ่งที่นักคิด นักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ระดับปริญญาเอกแห่งมหาวิทยาลัยเยล ผู้ทุ่มเทเวลาศึกษา ค้นคว้า เรื่องนโยบายสาธารณะในระบบสหพันธรัฐ เรื่องการแยกดินแดน แยกประเทศมาโดยตลอด อย่าง “นายเจสัน โซเรน” (Jason Sorens) จนสามารถสร้างทฤษฎีแห่งการแยกดินแดน แยกประเทศ ในยุคร่วมสมัยออกมาเป็นข้อๆ ว่ามีเงื่อนไข เหตุปัจจัยมาจาก 3 ปัจจัยด้วยกัน ที่อาจทำให้ระบบสหพันธรัฐของอเมริกา ต้องย่อยแยกแตกกระจัดกระจายออกไปชิ้นๆ นั่นคือ 1. ความเป็นกลุ่มชน เผ่าพันธุ์ หรือชนชาติ (Ethnicity) 2. จากปัญหาเศรษฐกิจ และ 3. จากแนวคิด วิธีคิด หรือจากอุดมการณ์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่าย ด้วยองค์ประกอบทั้ง 3 ปัจจัยที่ว่านี้ ไม่เพียงปรากฏให้เห็นแบบครบถ้วน สมบูรณ์ไปแล้วในทุกวันนี้ แต่กำลังกลายเป็นตัวก่อให้เกิด “วิกฤต” กับประเทศอเมริกา กับสังคมอเมริกัน ระดับหนีไม่พ้นต้องเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า...จะอยู่-จะไป จะรอด-ไม่รอด จากการ “ล่มสลาย” หรือจาก “อวสานอเมริกา” นับจากบัดนี้เป็นต้นไป...
กำลังโหลดความคิดเห็น