xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ชะตาภาคอุตฯครึ่งปีหลัง ลุ้นส่งออก-กำลังซื้อในปท.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สภาองค์การนายจ้างฯเผยคลายล็อกดาวน์เฟส 4 หนุนแรงงานทยอยกลับทำงานเพิ่มขึ้น แต่ครึ่งปีหลังคาดแรงงานยังคงตกค้างในระบบอีกกว่า 3 ล้านคน เหตุท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่มา ขณะที่ภาคการผลิตยังต้องลุ้นรอดไม่รอด หลังส่งออกชะลอตัว

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มอัตราการว่างงานของคนไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐที่ดำเนินมาถึงระยะที่ 4 แต่จากระดับแรงซื้อในประเทศ และการส่งออกที่ชะลอตัวทำให้แรงงานจะกลับเข้าสู่ระบบได้ไม่เต็มที่ จึงคาดว่าจะยังมีแรงานตกค้างว่างงานอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน รวมแรงานในระบบประกันสังคม มาตรา 39 แต่ยังไม่รวมแรงงานที่จะจบใหม่อีกราว 5แสนกว่าคน หรือคิดเป็นราว 7.85% ของแรงงานทั้งระบบ 38 ล้านคน

"ช่วงครึ่งปีแรกอัตราว่างงานของไทยเฉลี่ยจะอยู่ราว 7.5 ล้านคน หรือราว 20% ของแรงงานทั้งระบบโดยไม่รวมเด็กที่กำลังจะจบใหม่ แต่เมื่อรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์มาสู่ระยะที่ 4 ก็ทำให้กิจกรรมต่างๆ เปิดดำเนินการเกือบทั้งหมดแต่ต้องเข้าใจว่าธุรกิจท่องเที่ยวและบริการนั้นอาศัยนักท่องเที่ยวจากต่างชาติสูงกว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศ ราว 90% ดังนั้น แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการเที่ยวปันสุขมากระตุ้นก็ยังไม่อาจชดเชยกับรายได้ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป แรงงานในส่วนนี้กว่า 50% ก็จะยังคงต้องว่างงาน"นายธนิต กล่าว

แม้ว่าธุรกิจต่างๆเริ่มกลับมาดำเนินกิจการ ทั้งค้าปลีก ค้าส่ง ภาคการผลิต แต่ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในครึ่งปีหลัง เนื่องจากแรงซื้อของประชาชนถดถอย ซึ่งเกิดจาก 2 ปัจจัยได้แก่ 1. ประชาชนรายได้ลด ขาดเงินใช้จ่ายจริง 2. มีเงินแต่ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะกังวลอนาคตรายได้อาจไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งไทยและต่างชาติ ขณะที่เม็ดเงินที่รัฐบาลนำออกมากระตุ้นการบริโภค โดยเป็นเงินเยียวยาประชาชน 5.5 แสนล้านบาท และที่เหลือ 4.5 หมื่นล้านบาทใช้ในด้านสาธารณสุข รวม 6 แสนล้านบาท ได้เริ่มหมดลงแล้ว จึงต้องรอเม็ดเงินภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท ที่จะออกมาในเดือนก.ค.นี้ ว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนได้มากน้อยเพียงใด

"รัฐบาลจะต้องให้เม็ดเงินดังกล่าวลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากจริงๆ ต้องไม่ให้เกิดรั่วไหล เงินทอนระหว่างทาง ไม่เช่นนั้นเม็ดเงินนี้จะไม่ช่วยขับเคลื่อนได้ โครงการที่จะทำต้องให้กระจายไปยังต่างจังหวัด เช่น การจัดสัมมนา ไม่ควรจะเน้นการจัดซื้อคุรุภัณฑ์" นายธนิต กล่าว

ขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกของไทยหากมองประเทศคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป จีน ล้วนแล้วแต่เผชิญกับโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยเช่นกันประกอบกับยังมีสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนรอบใหม่ การปะทะกันระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นต้น เหล่านี้ย่อมบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกลงไปอีก จึงทำให้แนวโน้มการส่งออกของไทยปีนี้ยังคงติดลบสูง 5-8% ทำให้ภาคการผลิตของไทยที่เน้นพึ่งพาตลาดส่งออกต้องอยู่ในภาวะยากลำบาก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ดังนั้นครึ่งปีหลัง จึงต้องติดตามภาคการผลิตใกล้ชิดว่าจะสามารถแบกรับภาระต้นทุนกับสภาพตลาดที่ซบเซาได้หรือไม่ และจะมีผลต่อแรงงานตามมาอีกระลอก

แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับว่า ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวและบริการจะได้รับผลกระทบทันที แต่ภาคการผลิตนั้นจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นว่า จะรอดหรือไม่ในครึ่งปีหลัง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่เน้นพึ่งตลาดส่งออกขณะที่เศรษฐกิจโลก ได้รับผลกระทบโควิด-19 และความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งจะบั่นทอนให้การส่งออกยิ่งยากลำบากมากขึ้น ขณะที่การผลิตอีกส่วนที่พึ่งตลาดในประเทศด้วยก็เผชิญกับแรงซื้อที่ถดถอย สิ่งที่น่าห่วงคืออุตสาหกรรมที่มีสายป่านธุรกิจสั้นจะอยู่รอดได้ยาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ดังนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งมาตรการเร่งด่วนในการอัดเม็ดเงินลงสู่ระบบและทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่นที่จะบริโภค

"ลำพังโควิด-19 ที่ต้องลุ้นว่าจะมีการกลับมาระบาดรอบ 2 มากน้อยเพียงใด ทั้งในและต่างประเทศแล้วหลังคลายล็อกดาวน์ การเมืองในประเทศเองก็ทะเลาะกัน ยิ่งทำให้คนไทยรัดเข็มขัด ไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งเห็นด้วยที่รัฐจะต้องเร่งอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หากเม็ดเงินกระตุ้นลงไปแล้วหยุดชะงักไม่หมุนเวียนในระบบหลายๆรอบ ให้คุ้มค่ากับเงินที่ใส่ลงไปก็คิดว่าน่าจะทบทวนแนวทางใหม่ ดังนั้นรัฐควรประเมินเงินที่ใช้ไปด้วย" แหล่งข่าว กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น