xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่ม CARE พวกคุณแคร์ใคร อุดมการณ์ที่ไม่อาจซ่อนเร้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”


การเปิดตัว “กลุ่ม CARE คิดเคลื่อนไทย” ได้รับการกล่าวขานถึงในช่วงนี้ เพราะเป็นการรวบรวมตัวของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าใกล้ชิดกับ ทักษิณ ชินวัตร มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แกนนำกลุ่มแคร์ และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล (เฮียเพ้ง) ที่ส่งลูกชายนายนายพริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล มาเปิดหน้าแทน เพราะตัวเองเคยลั่นวาจาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปแล้ว

ดังนั้นไม่ว่ากลุ่ม 3สหายและ 1นายทุน เหล่านี้จะบอกว่า การเปิดตัวกลุ่ม CARE ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับทักษิณ แม้ทักษิณจะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า “ไม่เกี่ยวกับผม... ผมมันลอยตัวจากการเมืองแล้ว... ผมมันคนตกงานแล้ว เป็นวัย Young Old เป็นคนแก่ที่ยังหนุ่ม.. ผมขอให้กำลังใจมากกว่า”

แต่ใครจะเชื่อว่า คนที่เคยมีอำนาจจนเกือบล้น และถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของแผ่นดินจะปล่อยวางความคับแค้นใจเอาไว้ได้ แม้หนทางจะยากยาวไกล แต่ความคิดที่จะกลับมาเพื่อเอาคืนก็น่าจะยังอยู่ในส่วนลึก และนั่งเฝ้ามองคนหนุ่มสาวที่เป็นกบฏกับค่านิยมเดิมของสังคมและกำลังตื่นตัวขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจนิยมอย่างใจจดใจจ่อ และกลุ่ม CARE อาจกลายเป็นพี่เลี้ยงคนหนุ่มสาวที่มีความคิดไปในแนวทางเดียวได้อย่างมีความหวัง อย่างไรเสียทักษิณก็ต้องยังเก็บไพ่เอาไว้

ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นต้องยอมรับว่า กลายเป็นของเก่าที่ขายไม่ได้และตกรุ่นแล้ว แม้จะมีส.ส.มากเป็นอันดับ 1 แต่ด้วยนวัตกรรมทางการเมืองของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลนั้นแทบไม่มีเลย ว่าไปแล้วจำนวนส.ส.ที่ยังได้รับเลือกตั้งมามากก็เพราะเป็นแรงเฉื่อยของระบอบทักษิณที่ผูกมักใจคนในชนบทโดยเฉพาะอีสานเหนือเอาไว้เท่านั้น

ผมคิดว่าคนเหล่านี้มองออกว่าเลือกตั้งครั้งหน้าโอกาสแบบนี้ก็ยิ่งจะน้อยลงไปอีก รัฐบาลประยุทธ์ครองอำนาจมาแล้ว 6 ปี 1 ปีกับการเลือกตั้งและ 5 ปีจากการยึดอำนาจ การกุมอำนาจรัฐทำให้เกิดความได้เปรียบทางการเมืองในการกวาดต้อนให้คนหันมาสวามิภักดิ์ เพราะเห็นแล้วว่า โอกาสของฝั่งตรงข้ามอำนาจรัฐนั้นแทบจะไม่มีเลย เป็นไปได้สูงทีเดียวที่สมาชิกพรรคหลายคนของเพื่อไทยตอนนี้จะแปรพักตร์หันไปซบผู้กุมอำนาจรัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เมื่อแรงเฉื่อยของระบอบทักษิณหมด เงินของทักษิณไม่ถูกเติมลงมาแล้ว พรรคเพื่อไทยก็จะแปรสภาพไปเป็นพรรคดาดๆ พรรคหนึ่ง แล้วต้องยอมรับว่า การแย่งชิงมวลชนของพรรคเพื่อไทยนั้นไม่ได้แข่งกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ต้องแข่งแย่งมวลชนกับพรรคฝั่งเดียวกันคือพรรคก้าวไกลที่กำลังสดและร้อนแรงกว่า ดังนั้น ถ้าไม่สามารถสร้างมวลชนกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นได้การเลือกตั้งก็ปิดประตูแพ้อยู่ดี


แม้ว่าวันนี้ยังไม่มีสภาพเป็นพรรคการเมือง แต่เชื่อเถอะว่า เป้าหมายของกลุ่ม CARE ก็คือ การเมืองนั่นแหละ ถ้อยคำภาษาไทยที่ต่อท้ายกลุ่ม “คิดเคลื่อนไทย” สุดท้ายแล้วก็อาจจะหมายถึงชื่อพรรคก็เป็นได้ แม้จะต้องจับปลาในบ่อเดียวกับพรรคก้าวไกลของกลุ่มก้าวหน้าก็ตาม

พรรคก้าวไกลไม่ได้อาศัยเพียงแย่งเบียดฐานมวลชนเดิมของระบอบทักษิณ ความสำเร็จของอดีตพรรคอนาคตใหม่นั้นสามารถครองใจคนรุ่นใหม่ คนวัยทำงานที่พรรคของทักษิณทุกพรรคไม่สามารถทำได้มาก่อน ผมเชื่อว่า 3 สหายและ 1 นายทุนนั้นรู้แน่ว่า ทำการเมืองไปแบบนี้ก็ไม่มีวันโงหัวขึ้นมามีอำนาจได้ พวกเขาจึงต้องออกมาตั้งกลุ่มขึ้นมาใหม่เพื่อหาฐานเสียงที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคนเปราะบางในชนบทที่หลงรักทักษิณ โดยศึกษาบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

3 สหาย 1นายทุน น่าจะเล็งเห็นว่า การจะทำการเมืองต่อไปต้องสร้างความแปลกใหม่ขึ้นมา แต่ภาพของตัวเองนั้นก็เป็นภาพของนักการเมืองเก่าที่ช้ำมาแล้วจากระบอบทักษิณ ดังนั้นพวกเขาก็เลยเติม น.ส.ลักขณา ปันวิชัย (แขก คำผกา) นักเขียนและพิธีกรรายการโทรทัศน์, น.ส.วีรพร นิติประภา (แหม่ม) นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์, นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิก ลงมาเพื่อเปิดตัวให้มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่นักการเมืองเก่าลงไปด้วย

ทั้งแขกคำผกา วีรพร ดวงฤทธิ์นั้น มีจุดยืนทางการเมืองชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่ยอมรับอำนาจรัฐปัจจุบัน รวมถึงจุดยืนที่ซ่อนนัยอยู่ลึกๆ ของพวกเขาว่าต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปแนวทางที่ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ย แน่นอนการที่ 3 สหาย 1 นายทุนเชิญคนเหล่านี้มาร่วมก็เพราะมีอุดมการณ์เดียวกันนั่นแหละ

เชื่อว่า กลุ่มนี้พยายามทำให้ตัวเองเป็นสำนักคิดที่จะชี้นำสังคมอย่างที่ตัวเองถนัดในฐานะเคยเป็นกุนซือขับเคลื่อนทักษิณมาแล้ว ทำตัวให้เปิดกว้างเพื่อรับคนกลุ่มใหม่เข้ามา ไม่ใช่คนอย่างณัฐวุฒิ จตุพร แต่ทำให้ปัญญาชน คนมีชื่อเสียงของสังคมกล้าเดินเข้ามาร่วมอย่างไม่เคอะเขิน

สำหรับ 3 สหายนั้นมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไรนั้น ก็ไม่เท่ากับรหัสนัยที่ซ่อนอยู่ใต้ความคิดของพวกเขา แนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองที่ปลูกฝังมาจากป่าเดียวกันในครั้งมุ่งหวังสู้รบจับปืนต่อสู้กับอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบอาจจะหลงเหลือหยั่งรากลึกในหัวใจของเขาทั้งสาม กระทั่งหลายปีก่อนถ้าเราพูดถึงคนกลุ่มนี้ก็จะต้องพูดถึงปฏิญญาฟินแลนด์ที่ทักษิณถูกกล่าวหาโยงใย

การสร้างระบบรัฐบาลแบบพรรคการเมืองเดียว การเปลี่ยนระบบราชการให้อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของพรรคการเมือง การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน (“การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ”) ให้กลายเป็นของภาคเอกชน เพื่อสร้างระบบทุนนิยมที่สมบูรณ์แบบ พร้อมที่จะพลิกเป็นระบบคอมมิวนิสต์ การลดทอนความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย การสร้างระบบพรรคการเมืองแบบรวมอำนาจที่กรรมการบริหารพรรคและผู้นำพรรค

แม้ต่อมาการต่อสู้ฟ้องร้องกันในชั้นศาลไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงความมีอยู่จริงของปฏิญญาฟินแลนด์ แต่ข้อหานี้ก็ได้กลายเป็นบาดแผลให้ฝั่งระบอบทักษิณและสร้างความคลางแคลงใจต่อมวลชนอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับระบอบทักษิณอย่างมาก

และช่วงหลายปีนี้ภาพของคนกลุ่มไม่เอาเจ้า ต่อต้านระบอบกษัตริย์ คนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นสาธารณรัฐก็เปิดตัวชัดเจนขึ้นในหมู่คนฟากเดียวกัน ที่สำคัญความคิดนี้ถูกปลูกฝังในหมู่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก ถ้าเราติดตามในโลกทวิตภพและในโซเชียลมีเดียผ่านหน้ากระดานของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และปวิณ ชัชวาลพงศ์พันธ์ ฯลฯ

การต่อสู้กันมายาวนานของ 2 ฝั่งในสังคมไทยทำให้เป็นที่รับรู้กันว่า สังคมไทยทุกวันนี้แบ่งขั้วเลือกข้างกันชัดเจนแล้ว เราอาจจะเรียกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยมก็คงจะเรียกได้ไม่เต็มปากนัก แต่ก็พอพูดได้ว่าการแบ่งฝ่ายมีเฉดสีไปทางนั้น ก็น่าคิดว่ากลุ่มCARE ซึ่งอาจแปรฐานไปเป็นพรรคการเมืองหนึ่งในอนาคตเมื่อถึงวันชิงชัยจะสามารถสร้างความนิยมออกจากฐานกลุ่มเดิมของระบอบทักษิณได้อย่างไร รวมทั้งจะแย่งชิงมวลชนที่เป็นคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานของอดีตพรรคอนาคตใหม่ไปได้อย่างไร

อย่าลืมว่าก่อนจะเกิดกลุ่ม CARE นั้นมีกลุ่มก้าวหน้าของอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ตั้งหลักอยู่ก่อนแล้ว เพราะการเมืองในระบบของพวกเขาสิ้นสุดเส้นทางลงเพราะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อย่างน้อยอีกหลายปีคนกลุ่มนี้จะได้กลับเข้ามาสู่ระบบ การตั้งกลุ่มจึงเป็นการหล่อเลี้ยงมวลชนและแนวร่วมคนหนุ่มสาวที่ภักดีเอาไว้ไม่ให้พวกเขาสิ้นหวัง

การออกมาตั้งกลุ่มก้าวหน้าของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล พรรณิการ์ วานิชนั้น ชัดเจนว่า พวกเขาทั้งสามต้องการสวมบทบาทต่อจากคณะราษฎรผ่านการแสดงออกการพูดที่ไม่ซ่อนเร้นอำพรางที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและค่านิยมใหม่ของสังคมไทยแบบพลิกฝ่ามือ

มีคำถามเหมือนกันว่า กลุ่ม CARE ของ 3สหายและ1นายทุนนั้นจะมีบทบาทแตกต่างกับกลุ่มก้าวหน้าอย่างไร แม้จะรู้ว่า มีอุดมการณ์ลึกเร้นที่เชื่อมกันอยู่ จะเป็นมือไม้ที่ช่วยต่อกรกับฝ่ายตรงข้างทางการเมืองเพื่อมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงด้วยกันหรือสุดท้ายเป็นไปตามที่เขาคาดกันคือการเตรียมตัวเพื่อตั้งพรรคการเมืองเข้ามาแข่งขันในรัฐธรรมนูญที่ไม่มีวันชนะ

ต้องยอมรับว่า แม้การแบ่งฝ่ายสีเสื้อของคนในสังคมจะเจือจางลงไปแล้ว แต่เราเห็นชัดเจนว่าความขัดแย้งแตกแยกของคนในสังคมไทยนั้นยังคุกรุ่นอยู่ รอวันที่จะปะทุอออกมาและยากมากที่จะมีใครยับยั้งได้ ความต้องการของคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่แบบคนละขั้วนั้นยังไม่เห็นเลยว่าจะสมานรอยต่อกันไปแบบราบเรียบให้ไร้ตะเข็บไม่ให้เกิดความรุนแรงได้อย่างไร

ถ้าผลของการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นการแบ่งอุดมการณ์และการแบ่งข้างของสังคมไทยอย่างหยาบๆ เราต้องยอมรับว่า วันนี้ทั้งสองฝั่งสองฝ่ายสองอุดมการณ์นั้นมีขุมกำลังที่ไม่แตกต่างกันนัก และแม้ว่าด้วยเงื่อนปมจากรัฐธรรมนูญทำให้รัฐบาลปัจจุบันมีโอกาสสูงมากที่จะรักษาอำนาจรัฐได้ยาวและอาจจะขยายฐานมวลชนเพิ่มได้มากขึ้น แต่ต้องยอมรับด้วยว่า คนรุ่นใหม่ไม่ยอมรับรัฐบาลอำนาจนิยมที่ปกครองด้วยการกดทับสิทธิเสรีภาพ กติกาที่ไม่เป็นธรรม การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้อำนาจทางกฎหมายที่อยุติธรรมก็ยิ่งจะทำให้พวกเขาปฏิเสธอำนาจรัฐแบบที่เป็นอยู่มากยิ่งขึ้น และรอวันแตกหัก

ที่กล่าวมาทั้งหมด3สหายและ1นายทุนก็น่าจะมองเห็นปรากฏการณ์และอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นสังคมไทย พวกเขาจึงขับเคลื่อนกลุ่ม CARE ออกมา

ไม่ต้องตอบคำถามก็ได้ว่ากลุ่ม CARE ยืนอยู่ตรงไหนในความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์ของคนในชาติทั้งกลุ่มคนที่ต่อสู้กันมานับสิบปีกับคนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่ คนที่มีความคิดอนุรักษ์อุดมการณ์ชาติแบบเดิมกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือ เพราะจุดยืนความเป็นมาและตัวตนของ3สหาย1นายทุนและกลุ่มคนที่เปิดตัวออกมานั้นชัดเจนเปิดเปลือยล่อนจ้อนมานานนมแล้ว

ดังนั้นถ้าถามว่ามีอะไรใหม่ในกลุ่ม CARE ก็คงตอบว่าไม่มี ไม่น่าตื่นเต้นอะไร รอแต่ว่าสมรภูมิของการต่อสู้ในสงครามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น