ไม่ว่าคุณพี่จีนท่านอาจต้องเจอกับ “การระบาดระลอก 2” ของเชื้อไวรัส “COVID-19” หรือไม่? อย่างไร?...ก็คงไม่ถึงกับน่าห่วง น่ากังวลมากมายสักเท่าไหร่ เพราะด้วยความเป็น “ประชาธิปไตยรวมศูนย์” หรือ “เผด็จการคอมมิวนิสต์” ที่ทำให้ “อำนาจรัฐ” แข็งโป๊กปานประดุจแท่งอิฐ แท่งหิน ที่รายรอบกำแพงเมืองจีน โอกาสที่จะ “เอาอยู่” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แต่สำหรับคุณพ่ออเมริกานี่สิ!!! ด้วยความเป็น “ประชาธิปไตยเสรี” ที่ค่อยๆ กลายเป็นเสรีของพ่อค้า โดยพ่อค้า และเพื่อพ่อค้า ยิ่งเข้าไปทุกที เจอเข้ากับเชื้อไวรัสแท้ๆ ผสมด้วยไวรัสทางการเมือง อันเนื่องมาจากการแข่งขัน แย่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี บวกกับการลุกฮือขึ้นประท้วงของผู้คนทั่วทั้งประเทศ ในเรื่องเก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆ อย่างเรื่องการเหยียดผิว ชนิดระลอกแล้ว ระลอกเล่า แนวโน้มที่อาจถึงขั้นพังพินาศ เจ๊งกันในระดับรูดมหาราช หรือต้องกลายสภาพเป็น “ประชาธิป...ตาย” เอาง่ายๆ...
แม้การประท้วงในกรณี “จอร์จ ฟลอยด์” เหยื่อชาวผิวสีผู้ถูกฆาตกรรมตายคาเข่าตำรวจผิวขาว แห่งเมืองมินนิอาโปลิส จะลากยาวว์ว์ว์มากว่า 2-3 สัปดาห์เข้าไปแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะ “เหี่ยวปลาย” ลงไปเลยแม้แต่น้อย แถมล่าสุด...ยังได้ถูกเติมเชื้อ เติมฟืน ให้ลุกโชติช่วงชัชวาลย์ยิ่งขึ้นไปใหญ่ เมื่อตำรวจแอตแลนตา 2 นาย ตัดสินใจยิงใส่ผู้ต้องหาผิวดำที่พยายามดิ้นรนหนีการจับกุม อย่าง “นายRayshard Brooks” ซะจนตายคาที่ เมื่อช่วงวันศุกร์ (12 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ส่งผลให้คลื่นแห่งการประท้วงตามมาอีกเป็นระลอก ร้านอาหาร ณ จุดเกิดเหตุ ถูกเผาชนิดราบเรียบเป็นหน้ากลอง ในช่วงคืนเสาร์ (13 มิ.ย.) แม้ว่าตำรวจทั้ง 2 รายจะถูกไล่ออก และผู้บัญชาการตำรวจแอตแลนตาจะประกาศแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้ว แต่ก็ดูจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์บรรเทาเบาบาง ลงมาเลยแม้แต่น้อย เพราะความไม่ไว้วางใจ ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่มักเป็นไปในแบบซ้ำๆ เดิมๆ มันได้ลุกลาม แผ่ซ่านในระดับรั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ข่าวคราวเรื่องชาวผิวดำอีก 2 ราย ที่แขวนคอตายในแคลิฟอร์เนีย เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ยังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เกิดการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการ “ฆ่าตัวตาย” หรือ “ถูกตำรวจฆ่าตาย” กันแน่???
ภายใต้สภาพที่ปราศจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจซึ่งกันและกันเช่นนี้...เลยยิ่งทำให้การยื๊อแย่ง แข่งขัน แย่งชิงอำนาจทางการเมือง ระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม อย่างรีพับลิกันและเดโมแครต ยิ่งเร่าร้อนรุนแรง และหนักหน่วงตามไปด้วย การเผชิญหน้ากันระหว่าง “รัฐบาลท้องถิ่น” ที่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของเดโมแครต กับ “รัฐบาลกลาง” ภายใต้อำนาจอิทธิพลของประธานาธิบดีแห่งพรรครีพับลิกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” จึงเป็นไปในแบบที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ได้ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตไว้ในระหว่างการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ “Rossiya” ช่อง 1 เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “อะไรกำลังเกิดขึ้นที่นั่น (อเมริกา)...เพราะในขณะที่ประธานาธิบดี (ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากเสียงส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย) ได้พูดว่า...นี่คือสิ่งที่สมควรจะทำ แต่รัฐบาลท้องถิ่น (ซึ่งก็ได้รับการเลือกตั้งจากเสียงส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน) กลับบอกว่า...ไปลงนรกซะเถอะ!!!”
หรือสรุปง่ายๆ ว่า... “ประชาธิปไตยอเมริกัน” กำลังทำท่าว่าใกล้เข้าสู่ความเป็น “ประชาธิป...ตาย” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว และอาจด้วยสภาพเช่นนี้นี่เอง เลยทำให้บรรดาพวก “อนาธิปไตย” ในอเมริกาทั้งหลาย หรือบรรดาหน่อเนื้อ เชื้อไขของพวก “อนาคิสต์” (Anarchist) ที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิม จึงเริ่มกลับมาเจริญเติบโตและงอกงาม หรือเริ่มแสดงออกถึงความคึกคักเอามากๆ คือแม้ว่าประเทศอเมริกา จะถือเป็นต้นแบบ แม่แบบ “ความเป็นประชาธิปไตย” มาตั้งแต่แรก เป็นแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจให้บรรดา “นักประชาธิปไตย” ในประเทศต่างๆ ทั้งหลาย อยากลอกแบบ เลียนแบบมาโดยตลอด แต่บรรดาผู้ซึ่งไม่พึงพอใจต่อรัฐ ต่อระบบ หรือต่อการถูกควบคุมบังคับด้วยอำนาจรัฐใดๆ ก็แล้วแต่ อย่างพวก “อนาคิสต์” ทั้งหลาย ก็ยังเคยพยายามหว่านเพาะพืชพันธุ์ เมล็ดพันธุ์แห่งอนาธิปไตย เอาไว้ในแผ่นดินอเมริกามาเป็นระยะๆ ไม่ว่าตั้งแต่ยุคคุณป้า “เอมมา โกลด์แมน” (Emma Goldman) และสามี อย่าง “นายอเล็กซานเดอร์ เบิร์กแมน” (Alexander Bergman) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1885 โน่นเลย เคยวางแผนลอบสังหารพวก “นายทุนหน้าเลือด” ไม่ว่านายธนาคาร นักอุตสาหกรรม ตามแนวทางการต่อสู้ของพวกอนาคิสต์ ไปจนถึงการ “ปล้นคนรวยเอามาช่วยคนจน” ของนักปล้นแบงก์ อย่างจอมโจร “ซัคโคและแวนเซ็ตตี” (Sacco & Vanzetti) ผู้ถือเป็นสานุศิษย์รายสำคัญของนักทฤษฎีอนาคิสต์ชาวอิตาเลียน อย่าง “นายลุยจิ กัลลีอานี” (Luigi Galleani) ฯลฯ...
และแม้ว่าบรรดา “พืชพันธุ์อนาคิสต์” เหล่านี้ จะแห้งเหี่ยวโรยรา เพราะถูกขจัดกวาดล้าง ถูกปราบ ถูกกำจัดวัชพืชลงไปเพียงใดก็ตาม แต่ในช่วงจังหวะเหมาะๆ ก็พร้อมกลับมาเติบโต งอกงามได้เสมอๆ โดยเฉพาะเมื่อไหร่ก็ตามที่ “ความเป็นประชาธิปไตย” มันไม่ได้ตอบสนองต่อความปรารถนาและความต้องการของ “ประชาชนส่วนใหญ่” หรือไม่ได้เป็นไปโดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อประชาชน อย่างเป็นจริง เป็นจัง อย่างเช่นการต่อต้านการประชุมครั้งสำคัญของพวก “โลกาภิวัตน์” หรือการประชุม “World Economic Forum” ที่เมืองซีแอตเทิล เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2000 หรือที่รู้จักกันในนาม “การปะทะที่ซีแอตเทิล” (The Battle of Seattle) อันโด่งดังไปทั่วทั้งอเมริกาและทั่วทั้งโลก จนนักสร้างหนังฮอลลีวูด ต้องเอามาใช้เป็นพล็อตสร้างหนังออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2007 เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ความพังพินาศของสำนักงาน ที่ตั้ง ของบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ที่ถูกเผา ถูกทุบ จนป่นปี้ไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าบริษัทการเงินการธนาคาร อย่าง “Bank of America”, “US Bancorp”, “Key Bank” ฯลฯ บริษัทเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อย่าง “Old Navy”, “Gap Inc”, “Nike”, “Levi’s” ฯลฯ ไปจนถึงบริษัทด้านอาหาร อย่าง “McDonald’s”, “Starbucks” บริษัทภาพยนตร์บันเทิง อย่าง “Warner Bros”, “Planet Hollywood” ฯลฯ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 20 ล้านดอลลาร์ ก็ด้วยฝีมือของพวกลูกหลาน อนาคิสต์ในอเมริกา ที่รู้จักกันในนามกลุ่ม “DAN” หรือ “Direct Action Network” นั่นเอง...
บรรดาหน่อเนื้อเชื้อไขของกลุ่มคนเหล่านี้...จะแปลงสภาพตัวเองมาเป็นขบวนการ “Antifa” หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ แต่ด้วยการยึดพื้นที่ใจกลางเมืองซีแอตเทิล แล้วประกาศให้เป็น “เขตปกครองตนเอง” หรือ “Capitol Hill Autonomous Zone” หรือ “CHAZ” กันในช่วงระหว่างนี้ ก็อาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นคืนชีพ ของบรรดาพวก “อนาคิสต์” หรืออนาธิปไตยได้เป็นอย่างดี และตราบใดที่ “ประชาธิปไตยอเมริกา” ไม่ว่าโดยพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต ยังไม่สามารถให้คำตอบ ต่อความปรารถนาและต้องการของบรรดาอเมริกันชนโดยส่วนใหญ่ ยังเป็นแค่ “ประชาธิปไตยแบบเป๊ปซี่กับโคล่า” ซึ่งต่างก็เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่ การผงาดขึ้นมาของพวก “อนาคิสต์” ในช่วงระยะนี้ จึงอาจส่งผลให้ระบอบปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” ของอเมริกา อาจต้องกลายสภาพไปเป็น “อนาธิปไตย” ชนิดถึงขั้นต้องล่มสลาย ต้องแยกรัฐ แยกประเทศ เอาเลยก็ไม่แน่!!!