ก็ยังไม่จบ!!!...ยังหาจุดลงตัวกันไม่เจอ สำหรับ “ม็อบอเมริกา” ในทุกวันนี้ แม้ว่าศพของ “จอร์จ ฟลอยด์” เหยื่อฆาตกรรมผิวสีของตำรวจมินเนโซตาจะถูกฝังไปเรียบร้อยแล้ว ขณะตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร และบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมในแต่ละราย จะถูกกฎหมายเล่นงานแบบยกกะบิ ด้วยข้อหาที่หนักหน่วงรุนแรงมิใช่น้อย ราคาค่าประกันตัวในแต่ละรายสูงถึงระดับนับเป็นล้านดอลลาร์ แต่ทุกสิ่งก็ยังบานปลาย ปลายบาน ยังคงเกิดการประท้วง ลุกฮือ ในแต่ละเมือง แต่ละรัฐ ยืดเยื้อ คาราคาซังกว่า 6 สัปดาห์เข้าไปแล้ว ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ คงต้องขออนุญาตไปหยิบเอาความเคลื่อนไหวดังกล่าว มาใช้เป็นบทเรียน บทศึกษา กันเอาไว้มั่ง...
โดยอันดับแรก...ต้องพยายามทำความเข้าใจเอาไว้ซะก่อนว่า สังคมอเมริกานั้นเต็มไปด้วยปัญหาสั่งสมกันมานานแล้ว ไม่ว่าปัญหาความรวย-ความจน ความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง ฯลฯ รวมทั้งปัญหาเหยียดผิวที่เป็นไปแบบซ้ำๆ ซากๆ และเป็นปัญหาที่เกาะลึกลงไปในโครงสร้างสังคม ชนิดที่นักวิเคราะห์การเมืองในอเมริกาเอง ถึงกับต้องใช้คำว่าเป็น “ปฐมบาป” ของประเทศอเมริกาเอาเลยก็ว่าได้ ภาพวิดีโอการตายอย่างทรมานของเหยื่อชาวผิวสี อย่าง “จอร์จ ฟลอยด์” เลยกลายเป็นตัว “จุดระเบิด” ให้ปัญหาแทบจะทุกปัญหา ทะลักหลั่งออกมาเป็นสายๆ ระดับที่หาจุดจบ จุดลงตัวกันไม่ได้ง่ายๆ...
ประการที่สองก็คือว่า...การประท้วง การลุกฮือ ที่ถูกจุดระเบิดขึ้นมาโดยปราศจากองค์กร หรือขบวนการใดๆ เป็น “เจ้าภาพ” อย่างเป็นตัว เป็นตน เหมือนอย่างการก่อม็อบต่างๆ ในยุคอดีตที่ผ่านมา แต่อาศัยความก้าวหน้า ความทันสมัย ของสื่อยุคอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้เกิดการไหลมารวมตัวของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละรัฐ โดยไม่จำเป็นต้องมีองค์กร หรือขบวนการใดๆ เข้ามาบริหารจัดการ ให้เป็นรูป เป็นร่าง หรือให้เป็นไปตามเป้าหมายและทิศทางที่ต้องการ แม้จะทำให้การรวมพลัง สร้างพลัง เป็นไปได้โดยง่าย แต่การควบคุมให้บรรดาพลังต่างๆ อยู่ในร่อง ในรอย อยู่ในเป้าหมายและทิศทางที่ควรจะเป็น ย่อมเป็นเรื่องยากส์ส์ส์เอามากๆ โอกาสที่จะซัดส่าย สวิงไป-สวิงมา หรือ “สุดโต่ง” ไปในด้านหนึ่ง ด้านใด จึงปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน...
ไม่ว่าตั้งแต่การไม่ให้ความสนใจกับ “มาตรการทางสังคม” ระหว่างที่โรคระบาดยังคงแพร่กระจาย จนทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็น “จ้าวโรค” ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยอารมณ์โกรธ ด้วยคับแค้น แน่นอก การ “เว้นระยะห่างทางสังคม” หรือแม้แต่การ “สวมหน้ากาก” ที่จะเป็นตัวช่วยสร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเองและสังคม ก็เลยแทบไม่ได้ถูกให้ความสำคัญแต่อย่างใด การหันไป “ปล้น” ร้านค้า สินค้าของกลุ่มผู้ประท้วงบางราย เช่น ที่ชิคาโก ที่ทำให้เกิดการยิงต่อสู้กับตำรวจ ผู้ประท้วงตายไป 6 ราย ตำรวจบาดเจ็บไปถึง 20 ราย เกิดการจับกุมบรรดานักปล้นที่สวมบทเป็นผู้ประท้วงไปถึง 240 ราย ไปจนถึงการแสดงปฏิกิริยาแบบ “สุดโต่ง” ในระหว่างการประท้วง ไม่ว่าการพ่นสีบนถนน กำแพง ด้วยถ้อยคำที่สุดแสนจะรุนแรง เช่น “Kill Cops” หรือยุให้ฆ่าตำรวจเอาดื้อๆ การยึดพื้นที่ประท้วงบางจุด บางแห่ง แล้วประกาศเป็น “พื้นที่ปกครองตนเอง” ซะเฉยเลย เช่น ที่ “Capitol Hill” กลางกรุงนิวยอร์ก ทันทีที่ตำรวจถอนตัวออกจากแนวป้องกัน บรรดาผู้ประท้วงก็ยึดเอาพื้นที่ย่านซีแอตเติลเอาไว้ 6 บล็อก แล้วประกาศให้เป็น “Free Capitol Hill Zone” หรือ “Capitol Hill Autonomous Zone” (CHAZ) รวมไปถึงบรรดา “ข้อเรียกร้อง” ที่ถูกนำเสนอผ่านผู้ประท้วง ผ่านสื่อ ผ่านนักการเมือง ที่ว่ากันไปถึงขั้น...เรียกร้องให้เลิกให้เงินสนับสนุน ให้งบประมาณ (Defund) กับบรรดาตำรวจทั้งหลายอีกต่อไป ให้ยุบเลิก (Disband) ให้รื้อทิ้ง (Dismantle) หน่วยตำรวจบางหน่วย หรือกองบัญชาการทั้งกองบัญชาการ ฯลฯ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ท่ามกลางเป้าหมายและทิศทางที่ไม่แน่ชัด หรือที่สวิงไป-สวิงมาตามอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ประท้วงและผู้สนับสนุนการประท้วงในแต่ละราย เลยกลายเป็นการเปิดช่อง เปิดโอกาสให้บรรดา “นักการเมือง” เข้ามาใช้ประโยชน์จากความวูบไหว ไปมา ได้อย่างเป็นน้ำ เป็นเนื้อ ยิ่งภายใต้ช่วงเวลาแห่ง “การเลือกตั้งประธานาธิบดี” ที่กำลังใกล้เข้ามา การตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกของผู้ประท้วง ถึงกับทำให้ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต พลิกคะแนนนิยมจากที่เคยตามหลังอยู่ห่างๆ คู่แข่งฝ่ายตรงกันข้าม ชนิด “โจวิตถาร” (Creepy Joe) หรืออดีตรองประธานาธิบดี “โจ ไบเดน”สามารถมีคะแนนนำ แซงหน้า “ทรัมป์บ้า” ไม่รู้กี่ช่วงตัว และด้วยสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ย่อมทำให้การหาจุดจบ จุดลงตัว ยิ่งยากเข้าไปใหญ่...
ประการต่อมา...ก็คือ “แรงสวิงในด้านตรงข้าม” อันเนื่องมาจาก “ความบ้า” ของผู้นำอเมริกานั่นเอง ที่กลายเป็นตัวกระตุ้นให้การหาจุดจบ จุดลงตัว หรือการประนีประนอม ยิ่งลำบากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าการแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือในการเล่นงานผู้ประท้วง ชนิด “ปล้นเมื่อไหร่-ยิงเมื่อนั้น” การสร้างภาพ จัดฉาก ข้ามถนนไปชูคัมภีร์ไบเบิลหน้าโบสถ์เซนต์จอห์น พร้อมๆ กับการเปิดทาง เคลียร์เส้นทาง ด้วยการไล่ทุบ ไล่ยิงกระสุนยาง แก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วง ไปจนการประกาศว่าจะระดม “ทหาร” เอามาเล่นงานประชาชน โดยไม่สนใจว่าจะล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร...
อีกทั้งตลอดช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีรายนี้...ยังมีส่วนทำให้เกิดความหลงลำพองของบรรดาพวก “White Supremacy” หรือบรรดาพวกเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ขึ้นมามิใช่น้อย หรือทำให้บรรยากาศการอยู่ร่วมกันโดยสันติในสังคมอเมริกัน ถูกลดทอนลงไปไม่มากก็น้อย ดังนั้น...เมื่อกระแสการประท้วงแสดงออกถึงความ “สุดโต่ง” ไม่ว่าในด้านหนึ่ง ด้านใด ก็ยิ่งก่อให้เกิด “แรงสวิงในด้านตรงกันข้าม” ตามมา จนยากที่จะหาจุดจบ จุดลงตัวกันได้ง่ายๆการออกมาตะโกนด่าสื่อ ด่านักการเมือง อย่างเปิดเผยตรงไป-ตรงมา ของหัวหน้าสหภาพตำรวจ อย่าง “นายMike O’ Meara” โดยเรียกร้องให้ “หยุดกระทำกับเราเหมือนสัตว์ เหมือนผู้ร้าย และขอให้เคารพต่ออาชีพของพวกเราไว้บ้าง” กลายเป็นภาพที่สวนทางกับสมาชิกสภาเมืองมินเนอาโปลิส ที่พร้อมใจกันโหวตลงมติ ให้ “ยุบเลิก” สำนักงานตำรวจประจำเมือง แล้วค่อยหาทางจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน...
การประท้วงที่ยืดเยื้อคาราคาซังมาร่วมๆ 6 สัปดาห์ เกือบ 7 สัปดาห์เข้าไปแล้ว หรือชักจะลากยาวว์ว์ว์พอๆ กับ “ม็อบฮ่องกง” เข้าไปทุกที แถมยังแพร่ระบาดอารมณ์ ความรู้สึกเหล่านี้ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก หรือแทบทุกทวีป ชนิดแทบไม่ต่างอะไรไปจากการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสเอาเลยถึงขั้นนั้น จึงทำให้เป็นอะไรที่น่าติดตาม น่าศึกษา และน่าเก็บเอามาใช้เป็นบทเรียนไว้ซะแต่เนิ่นๆ เพราะใช่ว่าภาพเหตุการณ์เหล่านี้ หรือฉากสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในบ้านเรา หรือในสังคมไทยก็หาไม่ เนื่องจากไม่ว่าสังคมใดก็ตาม ตราบใดที่ยังมีบรรดาพวก “สุดโต่ง” สอดแทรกอยู่ในสังคมนั้นๆ รวมทั้งพวก “ฉวยโอกาสทางการเมือง” ที่สามารถอาศัยจังหวะใดๆ ก็ได้ ในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับฝ่ายตนอย่างไม่ลดละ ขณะที่บรรดาพวกที่เดิน “สายกลาง” หรือบรรดาพวก “มัชฌิมาปฏิปทา” ทั้งหลาย ยังไม่เติบโต แข็งแกร่ง เพียงพอ โอกาสที่จะต้อง “เละตุ้มเป๊ะ” พอๆ กับประเทศอเมริกาในทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย...