xs
xsm
sm
md
lg

อินทรีผยองกลายเป็นไก่เหงา

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์


ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
คณะผู้นำสหรัฐอเมริกาถูกมองว่ากำลังอยู่ในสภาพสิ้นท่า ลีลาชะงัก ลิ้นคับปากพูดไม่ออกกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการระบาดของโคโรนาไวรัส วิกฤตเศรษฐกิจ การประท้วงของคนผิวสี ในกรณีการตายของ จอร์จ ฟลอยด์ คนผิวดำ

หลังการเกิดกระแสประท้วง การจลาจล ปล้นห้าง เผาเมือง ทั่วประเทศ

ผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ จอมห้าว ก็ยังไม่กล้าออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์การประท้วง คนใกล้ชิดบอกว่าทรัมป์กำลังรอดูจังหวะที่จะกล่าวปราศรัยกับประชาชนทั่วประเทศ ต้องหาช่วงเวลาเหมาะ เพราะช่วงนี้ทรัมป์อยู่ในขั้นติดลบหนัก

ท่าทางกร่าง ซ่า พูดจาไม่เข้าหูคนของตัวผู้นำเองนั่นแหละ ที่ได้ทำให้เหมือนการสุมไฟในอารมณ์ของคนอเมริกัน แทนที่วิกฤตจะคลี่คลาย กลับกลายเป็นว่าคนชุมนุมยังไม่หยุด นอกจากกระจายไปทั่วประเทศแล้ว ยังมีการชุมนุมประท้วงหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก

ทั้งในยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา ซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรหลักของอเมริกา

นอกจากตัว ทรัมป์ คนที่นิ่งเงียบงันไม่มีใครได้ยินเสียง ก็คือรัฐมนตรีต่างประเทศ นายไมค์ ปอมเปโอ ซึ่งโดยปกติแล้วจะส่งความเห็นเจื้อยแจ้ว ทำตัวกร่าง เกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในการตำหนิและเล่นงานประเทศอื่นๆ เช่น จีน และเกาหลีเหนือ

ปอมเปโอ เก็บตัวเงียบ ไม่ออกมาแสดงความเห็นหรือท่าทีอย่างไร แม้แต่รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ซึ่งโดยปกติจะเป็นเหมือนคอหอยกับลูกกระเดือกกับผู้นำ และ ปอมเปโอ ก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บลิ้นเก็บฟัน หายหน้าไม่ยอมแถลงข่าวอย่างไรเช่นกัน

สภาวะเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าทั้ง 3 เกลออยู่ในสภาพเหมือนน้ำท่วมปาก จะคุยโม้อวดว่าเก่งฉกาจอย่างไรคนก็ไม่ให้ราคา ยิ่งเจอ 3 วิกฤต เช่น การระบาดของโคโรนาไวรัส เศรษฐกิจถดถอย การประท้วงทั่วประเทศเป็น 3 เด้ง ก็ทำให้ 3 เกลอสิ้นท่าอย่างที่เห็น

ทรัมป์ต้องตากหน้ารับแรงกดดันอยู่คนเดียว แม้จะยังออกอาการไม่หายซ่า ด้วยการให้ข้อมูลเท็จ เช่น อ้างว่าชายผิวขาวอายุ 75 ปีที่โดนตำรวจผลักล้มหัวกระแทกพื้นเลือดนอง อาการสาหัส ในเมืองบัฟฟาโลนั้น เป็นการจัดฉาก ทั้งๆ ที่ภาพฟ้องให้เห็นชัด

ประเด็นร้อนๆ ก็คือการหายหน้าหายตาของรัฐมนตรีต่างประเทศปอมเปโอนั้น ได้สร้างความอึดอัดใจให้กับบรรดานักการทูตที่ประจำการอยู่ในประเทศต่างๆ เพราะไม่สามารถให้คำตอบต่อข้อซักถามของคนในประเทศเหล่านั้นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในสหรัฐฯ

ประเทศเหล่านั้นอยากรู้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดการให้สถานการณ์คลี่คลายไปได้อย่างไรหลังจากยืดเยื้อมานานกว่าสองสัปดาห์แล้ว และส่งผลกระทบไปหลายประเทศ

โดยปกติแล้ว แต่ละปีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะออกรายงานสถานะเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ ว่ามีการละเมิดในระดับใดบ้าง ถ้ารุนแรงก็จะใช้มาตรการต่างๆ จัดการ ซึ่งการจัดลำดับชั้นทำให้การค้า สิทธิประโยชน์ต่างๆ มีปัญหา

เมื่อสหรัฐฯ เกิดปัญหาเสียเอง กระทรวงการต่างประเทศ โดยตัวรัฐมนตรีกลับหลบหน้าจากสื่อมวลชน ไม่ยอมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ทางการทูตเพื่อให้แนวทางและนโยบายว่าควรปฏิบัติตนหรือให้คำตอบอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็อยู่ในสภาวะอึดอัดใจ

สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทูตสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนผิวสีประจำอยู่ในประเทศต่างๆ กว่า 100 คน ต้องประชุมคุยกันเองผ่านระบบซูมว่าจะกำหนดท่าทีอย่างไรเมื่อถูกถามเกี่ยวกับสถานการณ์ แต่ข้อสรุปที่ได้นั้นก็ไม่ใช่เป็นแนวทางซึ่งใช้เป็นทางการได้

ที่ได้ข้อสรุปคือ ประเทศสหรัฐฯ ยังคงเน้นการให้ความสำคัญของความ หลากหลายด้านชนชาติและผิวสีในการอยู่ร่วมกันโดยสงบสันติ แต่ในช่วงที่ปอมเปโอเป็นรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างประเทศเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน ได้ลดลงจาก 7.95% อยู่ที่ 7.1%

สถานการณ์ปัจจุบันถือว่ายังไม่สายเกินไปถ้าตัวรัฐมนตรีจะมีแถลงการณ์บางประการออกมา จะเป็นการคลายแรงกดดันที่เจ้าหน้าที่สถานทูตเผชิญอยู่ในต่างประเทศ แต่จะอวดอ้างว่าสหรัฐฯ มีมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ไม่ได้อีกแล้ว

ช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ปอมเปโอมีกำหนดจะแถลงข่าว และคาดว่าผู้สื่อข่าวจะมีคำถามมากเรื่องการตายของ ฟลอยด์ และนโยบายเกี่ยวกับคนผิวสี แต่กลับถูกยกเลิกไปในนาทีสุดท้าย และยังไม่กำหนดการแถลงข่าวใหม่จนทุกวันนี้ ปอมเปโอก็ยังเงียบ

นี่เป็นการพิสูจน์ตัวตนของรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งถูกมองว่าไม่มีผลงานโดดเด่นอะไร เป็นคนไม่กล้าเผชิญปัญหา และแรงกดดันในยามวิกฤตซึ่งตัวเองไม่อาจควบคุมได้

ซ้ำร้าย ปอมเปโอ ถูกประเมินว่าเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่มีคุณภาพต่ำที่สุด การได้ตำแหน่งและอยู่รอดมาได้เป็นเพราะคอยเอาอกเอาใจ ไม่เคยขัดแย้งกับตัวผู้นำทำเนียบขาว ไม่มีความคิดและความเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนจ้องประจบประแจงทรัมป์

เป็นวิกฤตศรัทธาที่มีต่อตัวรัฐมนตรีและนโยบายต่างประเทศของชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกที่เคยใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มชาติอื่นๆ ชอบทำตัวเป็นต้นแบบ แต่ที่เป็นอยู่ ความน่าเชื่อถือแทบไม่เหลือ กลุ่มชาติพันธมิตรในยุโรป แคนาดา ไม่ให้ราคา

วิกฤตศรัทธาของสหรัฐฯ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการประท้วง การระบาดของโควิด-19 ก็ปล่อยให้คนอเมริกันติดเชื้อเกือบ 2 ล้านคน ตายกว่า 1.1 แสนคน เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานเกือบ 40 ล้านคน การเหยียดสีผิว ท่าทีขวาจัดของทรัมป์ทำให้ปัญหาลุกลามเลวร้าย

ตัวทรัมป์เอง ก็ได้กลายเป็นตัวตลกบนเวทีการเมืองโลก เพียงแต่พันธมิตรไม่กล้าหัวเราะเสียงดังเท่านั้น รู้ดีว่าการทำอะไรให้ทรัมป์ ที่เป็นคนไร้เหตุผล อารมณ์ร้ายเหมือนหมาบ้าพาลกระแชงโกรธเคือง หรือทำให้อายนั้น ไม่ใช่เรื่องควรทำอย่างยิ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น