เอเจนซีส์ - สมาชิกสภาของมินนีอาโปลิส เมืองที่เกิดเหตุตำรวจใช้เข่ากดคอชายผิวดำ จอร์จ ฟลอยด์ ซึ่งถูกควบคุมตัวจนกระทั่งเสียชีวิต และกลายเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงทั่วสหรัฐฯ ได้ลงมติในวันอาทิตย์ (7 มิ.ย.) ให้ยุบสำนักงานตำรวจแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ให้เป็นมิตรและปลอดภัยกับชุมชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน โคลิน พาวเวลล์ อดีตนายพลสี่ดาว และรัฐมนตรีต่างประเทศ สังกัดพรรครีพับลิกัน ประกาศเลือก โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี พร้อมวิพากษ์ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำลายภาพลักษณ์อเมริกาในสายตาชาวโลก
ฟลอยด์ ซึ่งไม่มีอาวุธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม จากการถูก ดีเร็ก ชอวิน ตำรวจผิวขาวเมืองมินนีอาโปลิส รัฐมินนิโซตา ใช้เข่ากดทับคอนานเกือบ 9 นาที โดยล่าสุด ตำรวจนายนี้ถูกตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
ลิซา เบนเดอร์ ประธานสภาของเมือง ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (7) หลังจากสมาชิกส่วนใหญ่ลงมติเห็นชอบในความพยายามปฏิรูประบบตำรวจของมินนีอาโปลิส ว่าสภามุ่งมั่นรื้อแนวทางการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมของตำรวจ และสร้างแนวทางใหม่ที่ปลอดภัยต่อชุมชนอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม จาค็อบ เฟรย์ นายกเทศมนตรีมินนีอาโปลิส ไม่เห็นด้วยกับการยุบสำนักงานตำรวจทั้งหมด โดยบอกว่า เขาสนับสนุนการปรับโครงสร้างขนานใหญ่เพื่อแก้ไขระบบที่มีการเหยียดผิวเชิงโครงสร้างนี้
คลิปบันทึกเหตุการณ์ที่มีภาพและเสียงฟลอยด์ร้องเรียกแม่ และบอกว่า เขาหายใจไม่ออก กลายเป็นตัวจุดชนวนการประท้วงตลอดสองสัปดาห์ในอเมริกา และแผ่ลามไปยังประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะชาติที่พลเมืองส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว ทั้งในยุโรป, แคนาดา และออสเตรเลีย
ที่สหรัฐฯ ในวันอาทิตย์ ยังคงมีการชุมนุมประท้วงในหลายเมือง เช่น วอชิงตัน นิวยอร์ก และวินเทอร์ปาร์ก ในรัฐฟลอริดา โดยจุดสนใจของผู้ประท้วงเริ่มปรับเปลี่ยนจากการแสดงความไม่พอใจเรื่องการตายของฟลอยด์ มาเป็นการเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันตำรวจและความยุติธรรมในสังคม
การประท้วงเป็นไปอย่างสงบเป็นส่วนใหญ่ กระนั้นมีรายงานว่า ชายคนหนึ่งขับรถพุ่งใส่กลุ่มผู้ชุมนุมในเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตันเมื่อวันอาทิตย์ และยิงผู้ประท้วงคนหนึ่งที่พยายามเข้าไปขัดขวางได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ตัวเองจะถูกยิงและถูกควบคุมตัว
ทางด้าน มิตต์ รอมนีย์ วุฒิสมาชิกรีพับลิกันจากยูทาห์ เข้าร่วมเดินขบวนไปยังทำเนียบขาว และทวีตภาพตัวเองระหว่างการประท้วงพร้อมแคปชันสั้นๆ ว่า “ชีวิตคนดำก็สำคัญ” (Black Lives Matter) ซึ่งเป็นทั้งคำขวัญและชื่อของขบวนการเรียกร้องสิทธิชาวผิวดำ
เวลาเดียวกัน การใช้แนวทางแข็งกร้าวต่อผู้ประท้วงของทรัมป์ยังถูกประณามจากอดีตนายทหารระดับสูงซึ่งปกติแล้วมักไม่ออกมาวิจารณ์ผู้นำพลเรือน
วันอาทิตย์ โคลิน เพาเวลล์ อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมและสมาชิกสายกลางของพรรครีพับลิกัน วิจารณ์ว่า ทรัมป์ทำตัวแปลกแยกจากรัฐธรรมนูญ และเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย
เพาเวลล์ที่เคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช สำทับว่า ทรัมป์ทำลายสถานะของอเมริกาในสายตาชาวโลก และทิ้งท้ายว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้ เขาจะเลือก โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
คอนโดลีซซา ไรซ์ ที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ต่อจากเพาเวลล์ ในสมัยจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ให้สัมภาษณ์ซีบีเอสว่า เธอคัดค้านการใช้ทหารปราบผู้ประท้วงอย่างสันติ เนื่องจากอเมริกาไม่ใช่สนามรบ
อย่างไรก็ดี วันอาทิตย์ ทรัมป์สั่งให้กองกำลังป้องกันชาติ (เนชันแนลการ์ด) เริ่มถอนทหารออกจากวอชิงตัน ดี.ซี. ภายหลังสถานการณ์โดยรวมสงบเรียบร้อยขึ้น ต่างจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่มีการจุดไฟเผาและปล้นร้านค้า
แชด วูล์ฟ รักษาการรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวกับเอบีซี ว่า สถานการณ์ในวอชิงตันก่อนหน้านี้ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปฏิเสธว่า ไม่มีปัญหาการเหยียดผิวอย่างเป็นระบบในหมู่ตำรวจ
ขณะเดียวกัน คณะบริหารของทรัมป์ไม่ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เฉพาะเจาะจงเพื่อรับมือความไม่พอใจกรณีการตายของฟลอยด์ และยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ทรัมป์ รวมทั้งวุฒิสภาที่ควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน จะสนับสนุนหรือไม่ในร่างกฎหมายของกลุ่มคอคัสสมาชิกรัฐสภาผิวดำ (ซีบีซี) เพื่อทำให้ระบบตำรวจน่าเชื่อถือและมีความรับผิดชอบมากขึ้น อาทิ ด้วยการเปิดทางให้สามารถฟ้องร้องตำรวจได้ง่ายขึ้นในกรณีที่มีผู้เสียชีวิต
ทรัมป์ยังยกประเด็นที่ผู้ประท้วงบางส่วนเรียกร้องให้ตัดงบสนับสนุนตำรวจ ทวิตโจมตีไบเดนโดยไม่มีหลักฐานว่า “ไม่ใช่แค่ตัดงบตำรวจเท่านั้น แต่ไบเดนผู้เฉื่อยชาจะตัดงบทหารด้วย”
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ มีกำหนดจัดประชุมโต๊ะกลมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในวันจันทร์ (8)
วันเดียวกันนั้น ไบเดน ที่โจมตีทรัมป์ว่า “สุมไฟแห่งความเกลียดชัง” มีแผนเดินทางไปพบครอบครัวฟลอยด์ที่เมืองฮิวสตัน และจะบันทึกเสียงเพื่อนำไปเปิดในพิธีศพฟลอยด์ที่จะจัดขึ้นที่เมืองในรัฐเทกซัสแห่งนี้ในวันอังคาร (9)