สงสัยวันนี้...คงต้องมาว่ากันต่อเรื่อง “ม็อบอเมริกา” อีกสักเล็กๆ น้อยๆ เพราะออกจะเป็นอะไรที่เอาเรื่อง เอาราว ไม่น้อยไปกว่า “ม็อบฮ่องกง” ของ “โจชัว หว่อง” เอาเลยก็ว่าได้ คือสามารถลากยาว ก่อการประท้วง การลุกฮือ หรือการแสดงถึงความอึดอัด ขัดข้องใจ ความไม่พึงพอใจได้อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ปาเข้าไปถึงสัปดาห์กว่าๆ หรือ 12-13 วันเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะ “เหี่ยวปลาย” ลงไปแต่ประการใด มิหนำซ้ำทำท่าว่าจะแพร่กระจายเชื้อแห่งความไม่พึงพอใจดังกล่าว ระบาดไปทั่วทั้งโลก ไม่น้อยไปกว่าเชื้อไวรัส “COVID-19” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
เรียกว่า...แม้จะเป็น “ม็อบ” ที่ค่อนข้างผิดแผกแตกต่างไปจากม็อบแบบเดิมๆโดยทั่วไป ที่มักต้องมีแกนนำ แกนนั่ง แกนนอน คอยบริหารจัดการอย่างเป็นตัว เป็นตน หรือต้องอยู่ภายใต้การชี้แนะ ชี้นำ จากกลุ่มก้อน องค์กร กลุ่มหนึ่ง กลุ่มใด ขบวนการหนึ่ง ขบวนการใด อย่างเช่นการลุกฮือเมื่อช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ที่ต้องมีขบวนการ “ออคคิวพาย วอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street) เป็นผู้บริหารจัดการมาตั้งแต่ต้นจนจบ หรือจนกระทั่งต้องเหี่ยวปลายไปตามธรรมชาติ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แต่สำหรับ “ม็อบอเมริกา” หรือ “ม็อบจอร์จ ฟลอยด์” คราวนี้ คงต้องยอมรับว่า...แทบไม่เห็นผู้หนึ่ง ผู้ใด กลุ่มหนึ่ง กลุ่มใด หรือขบวนการหนึ่ง ขบวนการใด เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเข้ามาแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเกิดการเกาะกลุ่ม รวมตัว เกิดความพร้อมใจที่ “ลงถนน” ในแต่ละเมือง แต่ละรัฐ แบบชนิด “พรึ่บบ์บ์บ์” ไปทั่วทั้งประเทศอเมริกา ไม่ต่ำไปกว่า 400 เมือง ตลอดทั่วทั้ง 50 มลรัฐ ไปแล้วในทุกวันนี้...
อีกทั้งแม้ว่าประเด็นในเรื่องการกระทำย่ำยีต่อเหยื่อชาวผิวสี อย่าง “นายจอร์จ ฟลอยด์” จะเป็นประเด็นที่พอช่วยให้เกิดแรงกระตุ้น ในการเกาะกลุ่มรวมตัวของผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ อันเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เป็นธรรม ในระดับสากลก็ตาม แต่การแสดงออกถึงความไม่เห็นควรด้วยต่อสิ่งเหล่านี้ มักไม่ต่างอะไรไปจากการ “ระบายอารมณ์” กันไปเป็นพักๆ โอกาสที่จะลากยาว หรือจะหาทางดำรงกระแสอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ ให้ต่อเนื่องยืดเยื้อไปเป็นสัปดาห์ๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การที่กระแสดังกล่าว ยังแทบไม่ออกอาการ “หัวตก” เอาเลยแม้แต่น้อย แม้ช่วงระยะเวลาแห่งการลุกฮือผ่านมาถึงวันที่ 12-13 เข้าไปแล้ว อันนี้...ก็ยิ่งทำให้ “ม็อบอเมริกา” คราวนี้ ออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าคิด น่าสะกิดใจ ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้สื่ออเมริกันบางราย อย่างเช่น “นายFranklin Foer” อดีตบรรณาธิการนิตยสาร “The New Republic” และปัจจุบันเป็นผู้บริหารวารสารการเมืองระดับแนวหน้าของอเมริกา คือ “The Atlantic” หรือวารสารที่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ในคณะรัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า” ยุคแรกๆ อย่าง “พลเอกเจมส์” หรือ “จิม แมตทิส” ได้ขออนุญาตใช้เป็นพื้นที่ในการไล่ฟัด ไล่งับ ฝังเขี้ยวจมน่องประธานาธิบดีอเมริกา ชนิดกล่าวหาว่าเป็นพวกนาซี ฮิตล่ง ฮิตเลอร์ ไปโน่นเลย จึงได้ออกมาตั้งข้อวิเคราะห์ ข้อสังเกตถึง “ม็อบอเมริกา” ในช่วงนี้ แบบชนิดน่าตื่นตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ...
คือถึงกับหยิบเอาความเคลื่อนไหวของ “ม็อบอเมริกา” ทุกวันนี้ ไปเปรียบเทียบ อุปมา-อุปไมยเกี่ยวโยงไปถึงการ “ปฏิวัติสี” หรือ “Color Revolution” ที่เคยอุบัติขึ้นมาในระดับโลก ไม่ว่าในเซอร์เบีย ตูนีเซีย ในโลกอาหรับ หรือในยูเครน ฯลฯ จนนำไปสู่การ “โค่นล้มระบบการปกครอง” ของแต่ละประเทศ ชนิดผู้นำในระบอบปกครองนั้นๆ เผ่นหนีแทบไม่ทัน เพราะความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ “ม็อบอเมริกา” ทุกวันนี้ ในสายตา หรือในมุมมอง ทัศนะของ “นายFranklin Foer” นั้น ออกจะเป็นอะไรที่คล้ายคลึง หรือเหมือนกับ “ขั้นตอนแรก” ของการโค่นล้มประธานาธิบดียูเครน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2014 เอามากๆ ไม่ว่าการทำให้ “สื่อฯ” ต่างๆ หันมาร่วมต่อต้าน คัดค้าน ผู้นำประเทศตัวเอง อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ การออกมาชนกับประธานาธิบดีอเมริกันแบบ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ของสื่อฯ อย่าง “ทวิตเตอร์” หรือการสร้างแรงกดดันของบรรดาพนักงานต่อผู้บริหาร “เฟซบุ๊ก” จน “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ชักทำท่าว่าไม่คิดจะ “ซัค” ประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ต่อไปอีกแล้ว ไปจนถึงสื่อฯ อื่นๆ โดยทั่วไป ที่หันมาไล่ฟัด ไล่งับ ผู้นำประเทศของตัวเอง แบบชนิดไม่ไว้หน้า ไว้เนื้อเชื่อใจใดๆ อีกต่อไป อันนี้นี่เอง...ที่ “นายFranklin Fore” ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “ขั้นตอนแรก” ของการปฏิวัติสี ที่ทำให้อเมริกาอาจกลายเป็นยูเครนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
อีกส่วนหนึ่ง...ที่ผู้บริหารวารสาร “The Atlantic” รายนี้ เห็นว่าเหมือนกันเอามากๆกับกรณีการปฏิวัติสีในยูเครนและที่อื่นๆ ก็คือการเริ่มแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย ของบรรดาผู้ซึ่งมีบทบาท อำนาจทางทหารต่อผู้นำรัฐบาล หรือผู้นำประเทศ ไม่ว่ากรณีการแสดงออกของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม “พลเอกเจมส์ แมตทิส” โดยอาศัยวารสาร “The Atlantic” ของตัวเองเป็นเครื่องมือ การแสดงออกของอดีตประธานเสนาธิการทหารเรือ “พลเรือเอกไมค์ มูลเลน” (Michael Mullen) และอดีตทหารอีกหลายต่อหลายราย ในกรณีที่ประธานาธิบดีคิดอาศัยกำลังทหาร ล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญ หรือใช้ในการเล่นงานม็อบแต่ละม็อบ จนแม้แต่รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน “นายมาร์ค เอสเปอร์” ยังต้องออกอาการ “ลิ้นพันกัน” ไม่อาจแสดงความเห็นด้วยต่อคำพูด หรือคำสั่งของประธานาธิบดีแบบเปิดเผย ตรงไป-ตรงมา ไปจนถึงประธานเสนาธิการร่วมคนปัจจุบัน อย่าง “พลเอกมาร์ค มิลลีย์” (Mark A. Milley) ที่ออกมาส่งจดหมายเวียนเป็นลายลักษณ์อักษร ในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำสั่งประธานาธิบดี อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...ฯลฯ ฯลฯ...
และด้วยบรรดา “ขั้นตอน” เหล่านี้นี่แหละ...ที่นำไปสู่การโค่นล้มระบอบการปกครอง โค่นล้มผู้นำในประเทศต่างๆ ตามแบบฉบับแห่ง “การปฏิวัติสี” อันเป็นสิ่งที่ “นายFranklin Fore” ยอมรับว่า ถือเป็น “เทคนิครัฐประหาร” ซึ่งถูกประดิษฐ์คิดค้น โดยบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของอเมริกานั่นเอง โดยบรรดาเทคนิคเหล่านี้...ทำท่าว่าอาจย้อนกลับมาเล่นงานระบอบปกครอง หรือเล่นงานผู้นำอเมริการายนี้ ที่ตัว “นายFranklin Fore” ค่อนข้างเชื่อเอามากๆ ไม่ต่างไปจากผู้มีอำนาจทางการเมืองหลายต่อหลายรายในอเมริกา ที่เชื่อว่า ประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” อาจมีนอก-มีใน หรือมีสายสัมพันธ์แบบลึกลับซับซ้อนกับประเทศรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่ทำให้ตัว “นายFranklin Fore” เคยต้องออกมาจุดพลุถึงเรื่องราวเหล่านี้ จนกลายเป็นกรณีที่เรียกกันว่า “Russiagate” นั่นเอง...
จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ...คงต้องลองไป “จินตนาการ” เอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ว่า “ม็อบอเมริกา” ทุกวันนี้ จะนำไปสู่ “การปฏิวัติสี” หรือนำไปสู่การโค่นล้มประธานาธิบดีอเมริกัน โดยฝีมือของฝ่ายความมั่นคงในอเมริกา หรือโดยฝีมือของพวก “Deep State” ตามแบบฉบับ “ทฤษฎีสมคบคิด” ได้จริงๆ หรือไม่? แต่การที่กระแส “จอร์จ ฟลอยด์” หรือจะเรียกว่ากระแส “Black Lives Matter” ก็คงพอได้ ได้แพร่กระจายออกไปสู่โลกทั้งโลก ไม่ว่าในยุโรป เอเชีย แอฟริกา อเมริกาเหนือ-อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง หรือทั่วทุกทวีป ในทุกซีกโลกเอาเลยก็ว่าได้ ชนิดสำนักข่าว “อัลจาซีรา” ต้องไปหยิบเอาแผนที่โลกมา “ปักหมุด” ไว้เป็นจุดๆ ภายใต้สภาพเช่นนี้...ไม่ว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะถูกโค่น ถูกถีบ จนเผ่นหนีแทบไม่ทัน เหมือนบรรดาผู้นำแต่ละประเทศที่ต้องเจอกับการปฏิวัติสี หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่สำหรับประเทศอเมริกาทั้งประเทศแล้ว ยังไงๆ...คงไม่น่าจะมีโอกาสกลับมา “Great Again” ใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว เหลือแต่จะ “Dead Again” กันในตอนไหน เมื่อไหร่เท่านั้นเอง...