ใครจะนึกว่าสังคมอเมริกันต้องเผชิญกับความวุ่นวาย การจลาจล เผาอาคารห้างร้านต่างๆ ในหลายสิบเมืองทั่วประเทศ เริ่มจากการเดินขบวนประท้วงในเมืองมินเนโซตา เพราะการเสียชีวิตของคนผิวดำเพียง 1 คน โดยการกระทำของตำรวจ 4 นาย
คนอเมริกันต้องจดจำชื่อ จอร์จ ฟลอยด์ เหยื่อของตำรวจโหด เดเร็ก เชาวิน ที่มีประวัติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ด้วยอาวุธ และการลงไม้ลงมือ จนถูกร้องเรียนกว่า 17 ครั้ง การจลาจลซึ่งยังไม่สิ้นสุดขณะนี้ ได้สร้างความเสียหายมหาศาล
ตำรวจอีก 3 นายจะโดนดำเนินคดีหรือไม่ หลังจากถูกไล่ออก 1 ในนั้นเป็นลูกหลานชาวม้งในลาวซึ่งอพยพมาสหรัฐฯ หลายหมื่นคนหลังสงครามกลางเมืองในลาวสิ้นสุด ชาวม้งมีผู้นำคือนายพลวังเปา รับจ้างซีไอเอรบกับทหารลาวแดงและเวียดนาม
ภรรยาของเชาวิน ชื่อเคลลี ก็เป็นหญิงชาวลาว เธอขอฟ้องหย่าทันทีหลังจากทราบพฤติกรรมของสามี ซึ่งภาพของเชาวินใช้เข่ากดลำคอของฟลอยด์ ไม่ใส่ใจต่อเสียงร้องขอให้ได้หายใจ จนสิ้นสติและเสียชีวิตต่อมา ได้เป็นชนวนของความโกรธแค้นรุนแรง
ลำพังความเสียหายด้านทรัพย์สินจากการถูกทำลาย วางเพลิง และบุกปล้นโดยฝูงชนฉวยโอกาสสวมรอยทุบห้างร้านขโมยทรัพย์สินอย่างไม่แยแสกฎหมาย เป็นรูปแบบอนาธิปไตยของแท้ในประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกที่เชิดชูระบอบประชาธิปไตย
ผลด้านลบทางเศรษฐกิจยังหาทางออกไม่ได้จากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังต้องมีแผลลึกในใจเรื้อรังเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวนานหลายร้อยปี และไม่มีวันจะจบสิ้น
คนอเมริกันกว่า 300 ล้านคนคงช็อก เมื่อเห็นสภาวะการไร้กฎหมาย คงถามตัวเองว่าเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น และลุกลามไปทั่วประเทศในเวลาไม่กี่วันได้อย่างไร จะจบอย่างไร
การประท้วงโดยสันติได้กลายเป็นการใช้ความรุนแรง และถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรง ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นๆ ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ตีด้วยกระบอง และมาตรการอื่นๆ หัวร้างข้างแตก นักฉกของและผู้ใช้ความรุนแรงหลายร้อยคนถูกจับกุม
เป็นแผลลึกในประวัติศาสตร์ของการเหยียดสีผิว คนผิวดำถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย
การเดินขบวนประท้วง ก่อการจลาจลทั่วประเทศระดับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ในกรณีของตำรวจ 4 นายไม่รับโทษหลังจากทุบนายรอดนีย์ คิง ในลอสแองเจลิส ในปี 1992 เกิดการจลาจลนานประมาณ 2 เดือน ก็ยังไม่ลามไปทั่วประเทศเหมือนครั้งนี้
ก่อนหน้านั้นในปี 1968 มีการเดินขบวนประท้วงสงครามเวียดนามนานหลายเดือน ก็ไม่มีผลเรื่องสีผิว แม้มีข้อกล่าวหาว่าทหารที่ส่งไปรบเวียดนามมีคนผิวดำและผิวสีมากกว่าคนผิวขาว แต่ประเด็นหลักของการต่อต้านนโยบายรัฐบาลที่ไปยุ่งกับเวียดนาม
ทั้งสองเหตุการณ์ทำให้รัฐบาลขณะนั้นได้ประกาศใช้กฎหมายรักษาความสงบ ซึ่งเริ่มในปี 1807 เพื่อจัดการกับความวุ่นวาย เป็นกฎหมายเดียวกันที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะใช้จัดการกับความไม่สงบ ถ้ายังไม่เลิกรา และผู้ว่ารัฐต่างๆ เอาไม่อยู่
กฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีสั่งการให้กองทัพส่งทหารเข้ารักษาความสงบ ซึ่งถือว่าเป็นสภาวะไม่ปกติ แต่ครั้งนี้ได้รับการท้วงติงจากผู้นำหน่วยทหาร ว่ายังไม่จำเป็น และผู้ว่าการรัฐต่างๆ ไม่เห็นด้วย มองว่าทรัมป์ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นความรับผิดชอบ
ทรัมป์เสียฟอร์มมาก เพราะคิดอ่านทำอะไรล้วนแต่ล้มเหลว ตั้งแต่การจัดการเรื่องการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้คนอเมริกันติดเชื้อใกล้ถึง 2 ล้านคน และมีคนเสียชีวิตเกือบ 1.2 แสนคน การชุมนุมประท้วงยืดเยื้ออาจเกิดการระบาดรอบใหม่ จัดการได้ยาก
ความรุนแรงกระจายเป็นวงกว้างครั้งนี้เพราะประชาชนได้รับความกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจ คนตกงานกว่า 40 ล้านคน และยังไม่มีวี่แววว่าจะจบสิ้น ทำให้วิกฤตเป็น 2 เด้ง ทำเอาผู้นำทำเนียบขาวไปไม่เป็น สิ้นสภาพความน่าเชื่อถือของการเป็นผู้นำ
ความรุนแรงนานกว่า 8 วัน ทรัมป์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจัดการอย่างไร จะใช้ทหารออกมาปราบปรามรักษาความสงบ จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม
ที่น่าอับอายอย่างยิ่งเฉพาะตัวทรัมป์ คือการไร้ฝีมือควบคุมสถานการณ์ ยิ่งเมื่อนำกรณีของฮ่องกงเข้ามาเปรียบเทียบด้วยแล้ว ทรัมป์กลายเป็นเป้าหมายของการเยาะเย้ยถากถางโดยโฆษกของกระทรวงต่างประเทศจีน 2-3 ครั้ง ทำเอาทรัมป์แทบกระอักเลือด
ยิ่งมีข่าวว่าช่วงคนชุมนุมหน้าทำเนียบขาว มีการปะทะกันกับหน่วยรักษาความปลอดภัย ทรัมป์และครอบครัวถูกนำตัวเข้าบังเกอร์ชั้นใต้ดินนานเกือบชั่วโมง ทำให้เสียฟอร์มหนัก ถูกมองว่าเป็นผู้นำห้าวปากกล้าขาสั่น จากนั้นเก็บตัวอยู่แต่ในทำเนียบขาว
จากนั้นทรัมป์พยายามออกลายใหม่ มีคนสั่งให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมหน้าทำเนียบขาว ยิงแก๊สน้ำตาขับไล่ เปิดทางให้ทรัมป์และคณะซึ่งมีคนผิวขาวล้วน เดินทางไปโบสถ์ในสวนสาธารณะลาฟาแยต ไปยืนถือไบเบิลให้ช่างภาพถ่ายรูปโชว์ความกร่าง
ทำเอานักบวชไม่พอใจ เพราะการเอาคัมภีร์ไบเบิลมาโชว์โดยไม่อ่าน พลิกไปพลิกมาวางท่าโก้ ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ประชาชนก็โมโหหนักเพราะถูกขับไล่เพื่อให้ทรัมป์ยืนเต๊ะท่า และประกาศว่าตัวเองเป็นประธานาธิบดีซึ่งเป็นตัวแทนของกฎหมาย
คนอเมริกันอยู่ในสังคมนิยมอาวุธปืนก็จริง แต่ยังไม่มีการขนอาวุธออกมาไล่ฆ่าฟันจนเป็นสงครามกลางเมือง เอาเพียงการวางเพลิง ปล้นสะดมทรัพย์สิน ทำให้คนอเมริกันรู้สึกว่าบ้านเมืองไร้ขื่อแป ผลสุดท้ายเจ้าของกิจการต่างๆ ต้องรับความเสียหายเอง
ประกันภัยจะครอบคลุม ชดเชยให้ในกรณีการจลาจลหรือไม่ แล้วแต่เงื่อนไข นั่นเป็นเรื่องเงิน แต่เรื่องของแผลลึกในใจและอารมณ์ ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะพอทุเลาได้