เอเจนซีส์ – “ทรัมป์” ส่งทหารปราบผู้ก่อความวุ่นวายในวอชิงตัน ดี.ซี. ขู่พร้อมระดมกำลังเข้าจัดการในรัฐที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ขณะการประท้วงต้านการเหยียดผิว และความโหดเหี้ยมของตำรวจ ซึ่งลุกลามเป็นความรุนแรงทั่วสหรัฐฯมาหลายวันแล้ว ยังคงทำให้กว่า 40 เมือง ต้องประกาศเคอร์ฟิว ส่วนผลชันสูตรจากผู้เชี่ยวชาญอิสระยืนยัน “จอร์จ ฟลอยด์” เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ
ในคืนวันจันทร์ (1 มิ.ย.) ซึ่งนับเป็นคืนที่ 7 ติดต่อกันแล้วที่ทั่วสหรัฐฯ เกิดเหตุจลาจลรุนแรง รายงานระบุว่า พวกผู้ประท้วงจุดไฟเผาศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส และห้างร้านหลายแห่งในนิวยอร์กซิตี้ ถูกฝูงชนบุกเข้าไปฉกชิงขโมยข้าวของ
การประท้วงที่ลุกลามกลายเป็นการจลาจลในหลายพื้นที่คราวนี้ เกิดขึ้นหลังการตายของ ฟลอยด์ ชายผิวดำ ไม่มีอาวุธที่ถูกตำรวจจับ และใช้เข่าทับคอจนขาดอากาศหายใจในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (25 พ.ค.) กำลังนำไปสู่เหตุการณ์ไม่สงบครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ทั้งในนครนิวยอร์ก แอลเอ และอีกนับสิบเมืองทั่วอเมริกา
หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ได้แสดงความป็นผู้นำของประเทศกับวิกฤตอันเลวร้ายครั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวปราศรัยด้วยน้ำเสียงดุดันจากสวนกุหลาบของทำเนียบขาว เวลาเดียวกับที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วง ซึ่งชุมนุมอย่างสันติที่ด้านนอกของรั้วทำเนียบ
ทรัมป์ประกาศว่า กำลังส่งทหารติดอาวุธหนัก เจ้าหน้าที่ทางทหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายรวมหลายพันคนออกไปหยุดยั้งการจลาจล การปล้นชิง การทำลายทรัพย์สินและสถานที่ต่างๆ และประณามสิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิงตันเมื่อคืนวันอาทิตย์ (31 พ.ค.) ว่า “น่าอัปยศ”
ประมุขทำเนียบขาวสำทับว่า หากเมืองหรือรัฐที่ไม่ยอมดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตนจะส่งทหารเข้าไปจัดการปัญหาอย่างรวดเร็ว และประณามว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการก่อการร้ายภายในประเทศ
แต่หลังการปราศรัยของทรัมป์ ฝูงชนยังออกไปประท้วง ซึ่งส่วนมากเป็นไปอย่างสันติในเมืองใหญ่หลายแห่ง แม้มีรายงานการปล้นห้างร้านในนิวยอร์กและแอลเอก็ตาม
นอกจากนั้น ระหว่างการปราศรัยของผู้นำสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่รวมถึงสารวัตรทหาร ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบขาวเพื่อเคลียร์ทางให้ทรัมป์ข้ามถนนไปยังโบสถ์เซนต์จอห์น ที่ถูกพ่นสีและถูกไฟเผาได้รับความเสียหายบางส่วนระหว่างการจลาจลเมื่อวันอาทิตย์
ทรัมป์ประกาศว่า “อเมริกาเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่” ขณะยืนถือไบเบิลให้ถ่ายภาพบริเวณหน้าโบสถ์แห่งนี้
เรื่องนี้ทำให้ มิเชล เคอร์รี มุขนายกนิกายแองกลิกัน เขตวอชิงตัน ดี.ซี. วิจารณ์ทรัมป์ว่า ใช้โบสถ์และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง
ด้าน โจ ไบเดน ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต โจมตีทรัมป์ว่า ใช้ทหารปราบปรามประชาชน
กระแสการประท้วงคราวนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางที่สุดในอเมริกานับจากปี 1968 เมื่อเมืองต่างๆ ลุกเป็นไฟจากการลอบสังหาร มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำชาวผิวดำที่ต่อสู้เรียกร้องสิทธิพลเมือง
หลายๆ พื้นที่ การประท้วงเป็นไปอย่างสงบ บางแห่งมีภาพตำรวจสวมกอดหรือคุกเข่าอยู่ข้างๆ ผู้ประท้วงที่กำลังร้องไห้ แต่อีกหลายแห่งมีการปะทะรุนแรง ระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจ นอกจากนั้น ยังมีการทำลายอาคารสถานที่หลายแห่ง รวมถึงบุกเข้าฉกชิงสินค้าในห้างร้าน เช่น บนถนนฟิฟธ์อะเวนิวในเขตแมนฮัตตันของนิวยอร์กซิตี้ และมีคนถูกยิงตายหนึ่งรายในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี
กว่า 40 เมืองต้องประกาศเคอร์ฟิว เฉพาะคืนวันจันทร์ บิลล์ เดอ บลาสิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ประกาศห้ามประชาชนออกจากบ้านระหว่างเวลา 20.00 น. จนถึงเช้าวันอังคาร (2) หรือเริ่มใช้เร็วขึ้นจากคำสั่งเดิม 3 ชั่วโมง
วิดีโอที่ถ่ายทำโดยผู้เห็นเหตุการณ์เผยให้เห็น ดีเร็ค ชอวิน ตำรวจผิวขาว นั่งใช้เข่ากดลำคอฟลอยด์ ซึ่งนอนอยู่ที่พื้นเกือบ 9 นาที และมีเสียงฟลอยด์ร้องขอชีวิตว่า “ผมหายใจไม่ออก!” หลายครั้ง
อเล็กเซีย วิลสัน ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่ได้รับการร้องขอจากครอบครัวของฟลอยด์ให้ชันสูตรศพ ระบุว่า ฟลอยด์เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของเทศมณฑลเฮนเนพิน เผยผลการชันสูตรอย่างเป็นทางการว่า ฟลอยด์ถูกฆาตกรรมจากการกดคอ แต่สำทับว่า พบสารมึนเมาในร่างกาย และฟลอยด์ยังมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
ฟลอยด์ วัย 46 ปี ถูกกล่าวหาพยายามใช้ธนบัตรปลอมซื้อบุหรี่ และผลการชันสูตรล่าสุดกระตุ้นให้มีการเรียกร้องอีกครั้งให้จับกุมตำรวจ 3 นาย ที่ยืนคุมเชิงระหว่างที่ชอวินกดคอฟลอยด์ โดยขณะนี้ตำรวจทั้งสามถูกปลดเท่านั้น ไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ
โชวินนั้นถูกปลดและตั้งข้อหากระทำฆาตกรรมระดับสาม ซึ่งเป็นความผิดที่เบากว่าฆาตกรรมระดับหนึ่งและสอง โดยมีกำหนดขึ้นศาลในวันจันทร์หน้า (8)