xs
xsm
sm
md
lg

In Pics : ‘ทรัมป์’ ขู่ส่งทหารปราบม็อบต้านเหยียดผิว ผลชันสูตรยัน ‘จอร์จ ฟลอยด์’ ถูกตำรวจกดคอจนขาดใจตาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนชูพระคัมภีร์ไบเบิลให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปที่ด้านหน้าโบสถ์เซนต์จอห์น (St. Johns Episcopal Church) ระหว่างที่กำลังมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ที่ด้านนอกทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.)
รอยเตอร์ - ตำรวจสหรัฐฯ ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางขับไล่ผู้ประท้วงที่ชุมนุมโดยสันติใกล้ๆ ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.) ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะส่งทหารเข้าเมืองเพื่อจัดการกับม็อบที่ก่อความรุนแรงอันมีสาเหตุมาจากความคับแค้นใจต่อการเสียชีวิตของ ‘จอร์จ ฟลอยด์’ หนุ่มผิวสีซึ่งเสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับ

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงที่ลาฟาแย็ตต์ปาร์กซึ่งอยู่คนละฟากถนนกับทำเนียบขาว ระหว่างที่ ทรัมป์ กำลังยืนแถลงข่าวอยู่ภายในสวนกุหลาบ

ทรัมป์ ประกาศกร้าวว่าเขาจะยุติเหตุจลาจลและการปล้นชิงทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 6 คืนที่ผ่านมา “ทันที” และจะส่งทหารสหรัฐฯ เข้าควบคุมสถานการณ์ หากผู้ว่าการรัฐต่างๆ ปฏิเสธที่จะส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) ลงพื้นที่เพื่อยับยั้งความรุนแรง

“นายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐจะต้องควบคุมให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ จนกว่าความรุนแรงจะหมดไป” ทรัมป์ ระบุ “หากเมืองหรือรัฐใดปฏิเสธที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ผมก็จะส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาอย่างรวดเร็ว”

หลังจากปฏิบัติการของตำรวจช่วยเปิดทางสะดวกให้ ทรัมป์ ได้เดินจากทำเนียบขาวไปยังโบสถ์เซนต์จอห์น (St. John’s Episcopal Church) พร้อมกับเจ้าหน้าที่ติดตามหลายคน รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม วิลเลียม บาร์ จากนั้นก็หยุดยืนถ่ายรูปโดยชูพระคัมภีร์ไบเบิล

สำหรับหน่วยความมั่นคงที่เข้าจัดการกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ทำเนียบขาวนั้นมีทั้งสารวัตรทหารจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ, หน่วยอารักขาประธานาธิบดี (ซีเคร็ตเซอร์วิส), ตำรวจประจำกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และตำรวจ ดี.ซี.

การประท้วงต่อต้านตำรวจที่ลุกลามทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีชนวนเหตุมาจากการเสียชีวิตของ ฟลอยด์ วัย 46 ปี ซึ่งถูกตำรวจมินนีอาโปลิส รัฐมินนิโซตา จับกุมฐานใช้แบงก์ปลอมซื้อของ และมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งใช้เข่ากดคอเขาไว้นานเกือบ 9 นาที โดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของฟลอยด์ ที่บอกว่าตน “หายใจไม่ออก”

ผลการชันสูตรศพครั้งที่ 2 ตามคำเรียกร้องของครอบครัวของ ฟลอยด์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้ (1) ยืนยันว่า ฟลอยด์ ถูกฆ่าตาย (homicide) โดยทำให้ขาดอากาศหายใจ (mechanical asphyxiation) ซึ่งหมายความว่ามีการใช้กำลังปิดกั้นจนทำให้ผู้ตายขาดออกซิเจน รายงานชิ้นนี้ยังระบุชื่อตำรวจ 3 นายที่มีส่วนทำให้ ฟลอยด์ เสียชีวิต

แพทย์ชันสูตรประจำเทศมณฑลเฮนนิพิน (Hennepin) ก็ได้เผยแพร่รายงานผลชันสูตรซึ่งยืนยันตรงกันว่า ฟลอยด์ ถูกฆาตกรรมโดยทำให้ขาดอากาศหายใจ และเสริมว่า ฟลอยด์ มีภาวะปอดและหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน (cardiopulmonary arrest) ระหว่างที่ถูกตำรวจล็อกตัวและใช้เข่ากดคอ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ตายป่วยเป็นโรคหัวใจ, มีภาวะเป็นพิษจากการใช้ยาเฟนทานิล และมีการใช้สารเสพติด ‘เมทแอมเฟตามีน’ ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นาน

ดีเรค ชอวิน ตำรวจมินนีอาโปลิส วัย 44 ปี ซึ่งเป็นคนที่ใช้เข่ากดคอฟลอยด์ ถูกจับกุมและตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา

เหตุประท้วงรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้สิบกว่าเมืองในสหรัฐฯ ต้องประกาศเคอร์ฟิว และมีการส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าตรึงกำลังใน 23 รัฐ และพื้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่เหตุจลาจลภายหลังการลอบสังหาร มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ในปี 1968

การลุกฮือต่อต้านพฤติกรรมเหยียดเชื้อชาติของตำรวจสหรัฐฯ เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ชาวแอฟริกันอเมริกันกลายเป็นผู้ติดเชื้อมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ

ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้นำสายรีพับลิกันออกมาประณามเหตุฆาตกรรม ฟลอยด์ และสัญญาว่าจะให้ความยุติธรรม แต่ขณะเดียวกันก็ตราหน้าผู้ประท้วงว่าเป็น “อันธพาล” (thugs) จนทำให้นักวิจารณ์ตำหนิว่าประธานาธิบดีซึ่งควรจะแสดงบทบาทสร้างความสามัคคีภายในชาติกลับกลายเป็นตัวกระพือความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติเสียเอง

บิชอป มาเรียน เอ็ดการ์ บัดด์ จากสังฆมณฑลวอชิงตัน (Episcopal Diocese of Washington) ซึ่งรวมถึงโบสถ์เซนต์จอห์นที่ ทรัมป์ ไปยืนถ่ายรูปชูพระคัมภีร์ไบเบิล ยอมรับว่ารู้สึก “ไม่พอใจมาก” กับการกระทำของประธานาธิบดีซึ่งขัดกับหลักคำสอนของโบสถ์ ขณะที่ แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ก็ออกมาวิจารณ์ตำรวจที่ใช้กำลังสลายผู้ชุมนุมเพียงเพื่อให้ ทรัมป์ ได้เดินไปถ่ายรูปโชว์ว่าเป็นอะไรที่ “น่าอับอายอย่างยิ่ง”














กำลังโหลดความคิดเห็น