ครบรอบ 100 วันของการติดเชื้อโควิดเข้าสหรัฐฯ และเริ่มมีคนตาย ปรากฏแค่ยังไม่ถึง 100 วันดี ยอดคนตายพุ่งไปกว่า 1 แสนคน และ NYT ได้นำเอาชื่อคนที่ตาย 1% ของหนึ่งแสนคนคือ คนจริงๆ มีตัวตนและเคยเป็นๆ อยู่ มีตำแหน่งแห่งหน (อย่างย่อๆ) หน้าที่การงานพิมพ์หราอยู่บนหน้า 1 ในวัน Memorial Day (ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงผู้วายชนม์ในการต่อสู้ศึกสงครามต่างๆ) เพื่อรำลึกถึงคนอเมริกันเหล่านั้น เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า คนที่เคยเป็นๆ หรือมีชีวิตอยู่, มีตัวตน และเคยเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกัน ต้องมาล้มหายตายจากจาก (อย่างไม่จำเป็นต้องตาย) การต่อสู้กับเจ้าวายร้ายโควิดในครั้งนี้
จากการคำนวณของคณะแพทย์ทีมมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่นิวยอร์ก ได้ฟันธงไปเมื่อ 2-3 วันนี้เองว่า ถ้าผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการ Lock Down อย่างทันการณ์เพื่อตัดตอนการแพร่เชื้อ และให้ประชาชนอยู่กับบ้าน (หรือทำงานจากบ้าน) จะสามารถช่วยชีวิตคนที่ต้องตายไปถึง 36,000 คน; และถ้าทำเร็วขึ้นอีก 2 อาทิตย์ ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้ถึง 84,000 คน!
ขณะนี้ ตามคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยดีเด่นของสหรัฐฯ กำลังขะมักเขม้นค้นคว้าอย่างรวดเร็วถึงผลจากวายร้ายโควิดที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมของสหรัฐฯ
หนึ่งในนั้นคือ ศ.Matthew Gentzkow (จากสแตนฟอร์ด) ที่ออกมารายงานว่า ระหว่างเดโมแครตและรีพับลิกัน คนที่เป็นเดโมแครตตกงานสูงกว่ารีพับริกัน เพราะเป็นคนงานระดับล่างมากกว่า และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แบบนิวยอร์กหรือแอลเอ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นกว่า ขณะที่ชาวรีพับลิกันจะตกงานน้อยกว่า เพราะอาศัยอยู่ในชนบทหรือชานเมือง หรือในเมืองเล็กๆ ที่ไม่หนาแน่นนัก และเป็นฐานเสียงสำคัญที่ส่งทรัมป์เข้าทำเนียบขาว
จึงเห็นได้ว่า ทรัมป์ได้ยุยงให้ชาวผิวขาวที่ไม่พอใจต่อการประกาศปิดเมือง และทำให้รายได้ของตนเองต้องลดน้อยหรือหายไป เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มที่ตายน้อยกว่าคนผิวดำ (ที่ส่วนใหญ่เป็นเดโมแครต ตาย 60% ของผู้ป่วยโควิดในสหรัฐฯ) ให้ออกมา “ปลดแอก (Liberate)” จากคำสั่งปิดเมืองของท่านผู้ว่าการรัฐที่เป็นเดโมแครต ตามรัฐใหญ่ๆ เช่น ที่มิชิแกนที่มีแม่เมืองเป็นผู้หญิงเสียด้วย
จะเห็นได้ว่า ในบรรดาผู้ออกมาประท้วง (หลายคนพกปืนมาเต็มอัตราศึก-เพื่อข่มขู่ตำรวจหรือผู้ว่าการรัฐ) จะแทบไม่เห็นมีคนผิวดำรวมอยู่ในกลุ่มที่เรียกร้องให้เปิดเมืองเลย
เพราะความช่วยเหลือจากการประกันว่างงาน และยังมีเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล กลาง ก็พอเพียงกับการกินอยู่ในยามปิดเมือง
แต่เพราะทรัมป์ไม่แยแสต่อยอดคนตายจากโควิดที่เกินแสนคนแล้ว และเพราะส่วนใหญ่ของคนตายก็ไม่ใช่ฐานเสียงของเขาด้วย
ทรัมป์เพียงต้องการให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นให้เร็วที่สุด ซึ่งก็ยังมีความเสี่ยงว่าจะมีการระบาดระลอกสอง จากการรื่นเริงเปิดเมืองเร็วเกินไป (ก่อนที่เชื้อระบาดจะลดปริมาณลง)
เขาเริ่มหันมา Blame Game โทษจีนอย่างจริงจังว่าเป็นต้นเหตุทำให้คนอเมริกัน และทั่วโลกต้องตายจำนวนมาก และเศรษฐกิจต้องพังลงเพราะต้องปิดเมืองกันทั่วโลก
นี่เป็นวิธีการที่เขาได้ทำสำเร็จในการเลือกตั้งปี 2016 คือ ประกาศจะสร้างกำแพงกั้นไม่ให้ชาวละตินอเมริกันเดินทางเข้าข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกมาหางานทำให้สหรัฐฯ
ถึงกับบอกว่า จะให้เม็กซิโกเป็นคนจ่ายเงินเพื่อสร้างกำแพงนี้!
และเขาก็ได้รับเลือกเข้ามา จากเหล่าชาวผิวขาวที่ได้หันมาเกลียดชังชาวละตินว่ามาแย่งงานทำ, มาสร้างอาชญากรรม, มาก่อกวนความสงบของสังคมชาวผิวขาวที่กินดีอยู่ดี
การหันมาให้จีนเป็นแพะรับบาปทั้งหมดตั้งแต่การขาดดุลการค้า 5 แสนล้านเหรียญกับจีน และโรงงานอเมริกันโบยบินจากสหรัฐฯ ไปตั้งอยู่ในจีน
และเมื่อตัวทรัมป์ทำผิดพลาดมากในการประเมินสถานการณ์ผิด; ไม่คาดว่าโควิดจะระบาดหนักในสหรัฐฯ จึงล่าช้าในการรับมือถึง 8 อาทิตย์กว่าจะประกาศ Lock Down และภาวะฉุกเฉิน
เขาจึงจุดประเด็นว่า จีนต้องรับผิดชอบในการระบาดของโควิด ซึ่งฆ่าคนอเมริกันและทั้งโลกตายมหาศาล...เขาบอกว่า ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา
และเบี่ยงเบนประเด็นว่า อเมริกาทำลายสถิติสูงสุดในการ test เพื่อควานหาคนติดเชื้อมากที่สุดในโลก
และคุยสำทับด้วยว่า เขาบริหารจัดการโควิดได้เจ๋งสุด ไม่เช่นนั้นคนอเมริกันต้องตายเป็นล้านแล้วด้วยซ้ำ!!
การโหมกระพือโทษจีนรุนแรงขึ้นทุกวัน มีทั้งรมต.ต่างประเทศ ปอมเปโอ และผู้แทนการค้า Peter Navaro ก็ช่วยกันขย่ม
การโจมตีจีนเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนที่รับมือช้า ได้กรอกหูผ่านสื่อ Fox และการทวิตเตอร์ถี่มากๆ ของเขา เริ่มได้ผล
Pew Research ได้รายงานถึงทัศนคติของคนอเมริกันที่มีต่อจีน เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ และชาวรีพับลิกันจะมองลบต่อจีน (ทั้งประเทศ, ผู้นำ และคนจีน) มากกว่าชาวเดโมแครต
ปลายเดือนเมษายน ทัศนคติของคนอเมริกันต่อจีนเป็นลบมากสุดตั้งแต่ Pew Research ได้เคยวัดมา
และนี่ทำให้ทรัมป์เดินหน้าโจมตีจีนแทบทุกครั้งที่มีโอกาสพูดผ่านไมโครโฟน เพราะเขาจะยังคงรักษาฐานเสียงเอาไว้ได้อย่างดี
แต่ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้นำเดโมแครตโจ ไบเดน ซึ่งเดิมก็ได้พูดส่งเสริมความร่วมมือระดับโลก รวมถึงจากจีนในการร่วมกันจัดการปราบโควิด ก็ได้เปลี่ยนมาเริ่มโจมตีจีนที่ชักช้าเสียเวลาไปหลายอาทิตย์กว่าจะออกเตือนชาวโลกถึงเชื้อโควิด
เพราะเขาก็ไม่กล้าฝืนความรู้สึกของชาวเดโมแครตที่เริ่มมีทัศนคติเกลียด(กลัว) จีนเพิ่มพรวดพราดขึ้นมา
ถ้าย้อนหลังไปดูตอนที่อดีตปธน.บุช (ผู้ลูก) กล่าวหาซัดดัม ฮุสเซน เป็นศัตรูร้ายที่สะสมอาวุธมหาประลัยเพื่อเตรียมล้มล้างอเมริกา ช่วงนั้นมีทั้ง ส.ว.โจ ไบเดน ส.ว.ฮิลลารี คลินตัน ส.ว.จอห์น แคร์รี ต่างยกมือมอบอำนาจให้บุชไปบุกปราบซัดดัม เพราะโพลวัดความรู้สึกคนอเมริกันต้องการให้เข้าไปปราบซัดดัม (ตามการปลุกปั่นของปธน.บุช)
ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ 3 พฤศจิกายนนี้ จึงมี Bipartisan ทั้งสองพรรค-เดโมแครตและรีพับลิกัน ที่โยนผิดให้จีนเต็มๆ เรื่องโควิด และลามมาถึงการประท้วงที่ฮ่องกงด้วย
ทั้งๆ ที่จุดยืนของพรรคเดโมแครตมักแสวงหาความร่วมมือระดับโลกเพื่อทำงานร่วมกันตั้งแต่ปธน.Woodrow Wilson หรือ FDR ก็ตาม