ผู้จัดการรายวัน 360 - ตำรวจกองปราบปราม เร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินรับโอน 5 บัญชี ตรวจสอบถึงบัญชีพ่อ-แม่ด้วย เงินหมุนเวียน 15 ล้านเหลือติดบัญชีแค่หลักร้อย ผลดีเอ็นเอยัน"แม่ปุ๊ก-น้องอิ่มบุญ" มีความสัมพันธ์แม่-ลูก โดยสายเลือด ขณะที่พนักงานสอบสวน ส่งขวดยา 15 ขวด ตรวจดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือ
วานนี้ (26 พ.ค.) พลตำรวจตรีจิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้าคดีนางสาวปุ๊ก ที่ต้องสงสัยวางยาเด็ก 2 คน เพื่อหลอกรับเงินบริจาค โดยระบุว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินจากบัญชีรับโอนเงินทั้ง 5 บัญชี ที่เบื้องต้นพบว่าระหว่างปี 2561-2563 หรือตั้งแต่เปิดบัญชีมา มีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 15 ล้านบาท เป็นยอดเงินที่มาจากการรับบริจาครักษาอาการป่วยของน้องอมยิ้มและน้องอิ่มบุญ กับเงินขายสินค้าต่างๆ แต่ขณะที่ตำรวจอายัดบัญชี กลับมียอดคงเหลืออยู่ภายในบัญชีเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบต่อว่าเงินถูกยักย้ายถ่ายเทไปที่บัญชีใครบ้าง หรือถูกโอนเข้าบัญชีพ่อและแม่ของนางสาวปุ๊กหรือไม่
จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยังไม่พบว่านางสาวปุ๊กมีพฤติกรรมติดการพนัน แต่เชื่อว่าอาจมีการรับเด็กเล็กมาอุปการะ และใช้ความน่าสงสารในการหาประโยชน์ เพราะที่ผ่านมามีประวัติถูกจับกุมคดีฉ้อโกงทรัพย์ตั้งแต่ปี 2559 จำนวน 2-3 คดีแล้ว ซึ่งจากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาก็ยังให้การเหมือนคนปกติ มีสติสัมปัชชัญญะดี
ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ(สพฐ.ตร.) พล.ต.ท.ธวัชชัย เมฆประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. ปฏิบัติราชการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณัฏฐ์ บุรณศิริ นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง(พฐก.)กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ทางพนักงานงานสอบสวนได้ส่งขวดยาพลาสติก 15 ขวด มาที่กลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ ซึ่งการตรวจจะบันทึกสภาพหีบห่อ สลากบรรจุ เก็บดีเอ็นเอที่ภาชนะเพื่อยืนยันว่าใครเป็นผู้จับต้องหรือสัมผัสขวดยาบ้าง หรือนำไปให้เด็กกินหรือไม่ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวอย่างดีเอ็นเอบุคคลของ น.ส.นิษฐา และน้องอิ่มบุญมาเทียบเคียงด้วย
พล.ต.ท.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ทางกลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ จะตรวจเฉพาะภาชนะหีบห่อเท่านั้น โดยคาดว่าจะทราบผลภายใน 3 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้ผู้ชำนาญเฉพาะของกระทรวงสาธารณสุขตรวจหาชนิดยาที่บรรจุภายในตำรับยาจะว่าเป็นยาชนิดใด และตรงกับฉลากที่ติดหรือไม่
มีรายงานว่าผลการตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบระหว่างนางนิษฐา กับ น้องอิ่มบุญ วัย 2 ขวบ พบว่ามีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกันโดยสายเลือด
วานนี้ (26 พ.ค.) พลตำรวจตรีจิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้าคดีนางสาวปุ๊ก ที่ต้องสงสัยวางยาเด็ก 2 คน เพื่อหลอกรับเงินบริจาค โดยระบุว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินจากบัญชีรับโอนเงินทั้ง 5 บัญชี ที่เบื้องต้นพบว่าระหว่างปี 2561-2563 หรือตั้งแต่เปิดบัญชีมา มีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 15 ล้านบาท เป็นยอดเงินที่มาจากการรับบริจาครักษาอาการป่วยของน้องอมยิ้มและน้องอิ่มบุญ กับเงินขายสินค้าต่างๆ แต่ขณะที่ตำรวจอายัดบัญชี กลับมียอดคงเหลืออยู่ภายในบัญชีเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบต่อว่าเงินถูกยักย้ายถ่ายเทไปที่บัญชีใครบ้าง หรือถูกโอนเข้าบัญชีพ่อและแม่ของนางสาวปุ๊กหรือไม่
จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยังไม่พบว่านางสาวปุ๊กมีพฤติกรรมติดการพนัน แต่เชื่อว่าอาจมีการรับเด็กเล็กมาอุปการะ และใช้ความน่าสงสารในการหาประโยชน์ เพราะที่ผ่านมามีประวัติถูกจับกุมคดีฉ้อโกงทรัพย์ตั้งแต่ปี 2559 จำนวน 2-3 คดีแล้ว ซึ่งจากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาก็ยังให้การเหมือนคนปกติ มีสติสัมปัชชัญญะดี
ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ(สพฐ.ตร.) พล.ต.ท.ธวัชชัย เมฆประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. ปฏิบัติราชการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณัฏฐ์ บุรณศิริ นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง(พฐก.)กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ทางพนักงานงานสอบสวนได้ส่งขวดยาพลาสติก 15 ขวด มาที่กลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ ซึ่งการตรวจจะบันทึกสภาพหีบห่อ สลากบรรจุ เก็บดีเอ็นเอที่ภาชนะเพื่อยืนยันว่าใครเป็นผู้จับต้องหรือสัมผัสขวดยาบ้าง หรือนำไปให้เด็กกินหรือไม่ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวอย่างดีเอ็นเอบุคคลของ น.ส.นิษฐา และน้องอิ่มบุญมาเทียบเคียงด้วย
พล.ต.ท.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ทางกลุ่มงานตรวจชีววิทยาและดีเอ็นเอ จะตรวจเฉพาะภาชนะหีบห่อเท่านั้น โดยคาดว่าจะทราบผลภายใน 3 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้ผู้ชำนาญเฉพาะของกระทรวงสาธารณสุขตรวจหาชนิดยาที่บรรจุภายในตำรับยาจะว่าเป็นยาชนิดใด และตรงกับฉลากที่ติดหรือไม่
มีรายงานว่าผลการตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบระหว่างนางนิษฐา กับ น้องอิ่มบุญ วัย 2 ขวบ พบว่ามีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกันโดยสายเลือด