MGR Online - กองปราบเชิญตัวแม่-พ่อ-น้องชาย “แม่ปุ๊ก” สอบพฤติกรรมเลี้ยงดูลูก พบเงินบริจาคในบัญชีเหลือหลักร้อย ยังไม่มีข้อมูลป่วยทางจิต เชื่อไม่กระทบรูปคดี เตรียมรวบรวมข้อมูลการรักษาของเด็กจาก รพ.ต่างๆ ตั้งแต่เกิด ล่าสุด ผู้บริจาคติดต่อขอเป็นพยานจำนวนมาก
วันนี้ (26 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีจับกุม น.ส.นิษฐา วงวาล หรือ แม่ปุ๊ก ที่ก่อเหตุหลอกลวงชาวเน็ตให้สั่งซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊ก โดยอ้างว่าต้องการนำเงินไปรักษาน้องอมยิ้ม อายุ 4 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด ก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2562 ต่อมา แม่ปุ๊กอ้างว่าน้องอิ่มบุญ อายุ 2 ขวบ ลูกชายคนเล็กได้ป่วยแบบเดียวกัน แต่เมื่อแพทย์ตรวจสอบอาการเด็กแล้ว พบพิรุธว่าเด็กอาจถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกาย ขณะที่ตัวแม่ปุ๊กกลับได้เงินช่วยเหลือไปร่วม 15 ล้านบาท ว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินจากบัญชีรับโอนเงินทั้ง 5 บัญชี ที่เบื้องต้นพบว่า ระหว่างปี 2561-2563 หรือตั้งแต่เปิดบัญชีมา มีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นยอดเงินที่มาจากการรับบริจาครักษาอาการป่วยของน้องอมยิ้ม และ น้องอิ่มบุญ กับเงินขายสินค้าต่างๆ แต่ในขณะที่ตำรวจอายัดบัญชี กลับมียอดคงเหลืออยู่ในบัญชีเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น จึงต้องตรวจสอบว่าเงินถูกยักย้ายถ่ายเทไปที่บัญชีใครบ้าง หรือถูกโอนเข้าบัญชีพ่อและแม่ของแม่ปุ๊กหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยังไม่พบว่า น.ส.นิษฐา มีพฤติกรรมติดการพนัน แต่เชื่อว่า อาจได้รับเด็กมาอุปการะ และใช้ความน่าสงสารในการหาประโยชน์ เพราะที่ผ่านมามีประวัติถูกจับกุมคดีฉ้อโกงทรัพย์ตั้งแต่ปี 2559 รวม 2-3 คดีแล้ว
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวต่อ ส่วนกรณีมีข่าวว่า น.ส.นิษฐา เคยเข้ารับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น ตำรวจยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด ซึ่งกำลังตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ แต่จากการสอบปากคำที่ผ่านมา ผู้ต้องหาก็ยังให้การเหมือนคนปกติ มีสติสัมปชัญญะ ไม่พบอาการคล้ายการป่วยทางจิต เชื่อว่า ไม่น่าจะกระทบต่อรูปคดี ขณะที่ในส่วนของผลตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นั้น ขณะนี้ทางกองปราบยังไม่ได้รับรายงาน ทราบเพียงว่าทางกองพิสูจน์หลักฐานกลางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเร่งตรวจสอบ
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. ได้เชิญตัวบิดาและมารดาของ น.ส.นิษฐา มาทำการสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อซักถามในประเด็นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลในครอบครัวช่วงระหว่างที่ น.ส.นิษฐา นำ ด.ญ.อมยิ้ม และ ด.ช.อิ่มบุญ มาเลี้ยงดูที่บ้านในช่วงระหว่างปี 2561-2563 รวมถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็กของ น.ส.นิษฐา เพื่อคลายข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ นอกจากนี้ ทางพนักงานสอบสวนยังได้เชิญตัวน้องชายของ น.ส.นิษฐา มาให้ปากคำประเด็นดังกล่าวด้วย โดยทราบว่าจะสะดวกเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเวลา 19.30 น. ของวันเดียวกัน
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาตั้งแต่ปี 2561-2563 ที่ได้เปิดใช้สำหรับรับโอนเงินค่าสินค้าและเงินบริจาค พบหลักฐานการถอนเงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายและค่าบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวันรวมกว่า 1 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินโอนเข้านับหมื่นรายการ และโอนออก 4,000-5,000 รายการ นอกจากนี้ ยังมีสลิปการถอนเงินออกไปใช้จำนวนมาก รวมมูลค่าเงินในสลิปต่างๆ ราว 4 แสนบาท ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น สอดคล้องกับเงินค่ารักษาพยาบาลเด็กทั้ง 2 คนด้วยหรือไม่ เพราะพบว่าเงินสดบางส่วนที่ถูกถอนมาก็ได้นำไปใช้เป็นค่ารักษาจริง แต่ก็มีบางส่วนที่ชำระไปโดยไม่ใช้เงินสดด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่เรื่องดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ก็ได้มีประชาชนจำนวนมากติดต่อเข้ามายังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอเป็นพยานให้ข้อมูลเรื่องการโอนเงินดังกล่าว ซึ่งอาจมีการพิจารณาเป็นรายๆ ไป
มีรายงานด้วยว่า พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบก.ป. มือกฎหมายของกองปราบเข้ามาควบคุมการสอบสวนคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สำนวนมีความรัดกุมและเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ ล่าสุด พ.ต.อ.สมควร ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ปทักข์ นำทีมฝ่ายสืบสวนรวบรวมข้อมูลการรักษาพยาบาลของเด็กทั้งสองคนของทุกโรงพยาบาลที่เด็กเคยเข้ารับการรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่เกิด ทั้งนี้ เพื่อนำมาวิเคราะห์พร้อมกับแพทย์เป็นแนวทางในการทำสำนวนการสอบสวน โดยหลักฐานต่างๆ นั้นได้รวบรวมจาก โรงพยาบาลบีแคร์ โรงพยาบาลภูมิพล โรงพยาบาลสินแพทย์ลำลูกกา โรงพยาบาลเปาโลรังสิต และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น