xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

จีน-อเมริกา...กับสงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตกลับไปสำรวจตรวจสอบ ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่เบิ้มระดับโลก อย่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีนกันดูอีกสักตั้ง เพราะช่วงหลังการแพร่ระบาดของ “COVID-19” ที่ผ่านมา คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ต่างฝ่ายต่าง “ใส่” กันหนักซะเหลือเกิน จนแทบไม่ใช่แค่ก่อให้เกิดการ “แบ่งโลก” ออกเป็น 2 ซีก 2 ฝ่าย แบบโลกเมื่อยุคอดีต หรือยุค “สงครามเย็น” เท่านั้น แต่อาจเตลิดเปิดเปิงไปถึงขั้นสามารถ “จุดชนวนสงครามร้อน” หรือสงครามระดับโลก ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!

คือไม่ใช่แค่ด่ากันไป-ด่ากันมา แค่โยนขี้ โยนบาป จากความสำเร็จ ความล้มเหลว ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้อย่างไม่มีปี่-ไม่มีขลุ่ย อันอาจถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่กำลังต้องหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อเป็นประธานาธิบดีอเมริกันต่อไปอีกสมัย และผู้ที่ถนัดในการโยนบาป โยนขี้ ให้ใครต่อใครมาโดยตลอด อย่าง “ทรัมป์บ้า” เท่านั้นแต่ด้วยเหตุเพราะองค์ประกอบอีกหลายต่อหลายปัจจัย โดยเฉพาะความรู้สึกลึกๆ ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ที่ต่างกลายเป็น “โรคกลัวจีน” หรือต่างติดเชื้อไวรัส “Sinophobia” หรือ “Xenophobia” กันไปเป็นแถบๆ นับตั้งแต่ได้ตัดสินใจเลือกผู้ที่มี “เชื้อบ้า” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอเมริกา เมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว เชื้อไวรัสที่ว่าก็เลยยิ่งแพร่กระจายอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ...

อันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจากผลสำรวจวิจัย ความคิดเห็นของบรรดาอเมริกันชน โดยสถาบันวิจัยอย่าง “Pew Research Center” เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตามที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการออนไลน์” ท่านได้ไปหยิบเอารายงาน 2 เรื่องจากสำนักข่าวรอยเตอร์และเอเชียไทมส์ ออนไลน์ มาเรียบเรียงให้เห็นกันจะจะ คือจากความรู้สึกเกลียดจีน กลัวจีน ที่เคยมีมาแต่แรกเริ่มเดิมที หรือมีมาตั้งแต่อภิมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน เริ่มหายใจรดต้นคอทำท่าว่าอาจแซงหน้ามหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างสหรัฐฯ ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ ความเกลียด ความกลัวที่ว่ามันยิ่งถูกทำให้ฝังเข้าไปในกระดูก หรือทำให้เพิ่มขึ้นไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารประเทศของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นี้...นี่เอง!!!

หรือทำให้อเมริกันชนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หันมาเกลียดจีน กลัวจีน อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวเดโมแครต หรือรีพับลิกันก็ตามที ชนิดอาจสรุปได้ว่า 6 ใน 10 ของชาวเดโมแครต ต่างติดเชื้อ “Sinophobia” กันไปเป็นแผงๆ ขณะที่ 7 ใน 10 ของชาวรีพับลิกัน ล้วนเป็นโรคกลัวจีน เกลียดจีน ไปด้วยกันทั้งสิ้น อันส่งผลให้เกิด “กระแส” หรือเกิดภาวะที่ “ผู้จัดการออนไลน์” เขานำมาพาดไว้เป็นหัวข่าวนั่นแหละว่า “ทั้งทรัมป์และไบเดน...ต่างมุ่งขี่กระแสอเมริกันชนที่ไม่ชอบจีน เพื่อชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้” คือต่างฝ่ายต่างพยายามตอบสนองอารมณ์-ความรู้สึกของบรรดาอเมริกันชน ด้วยการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตัวเอง หรือพรรคการเมืองของตัวเอง มีขีดความสามารถในการเล่นงาน “ศัตรูคู่แข่ง” อย่างจีน ได้มาก-น้อยไปกว่ากันเพียงไหน...

คือขณะที่ “ทรัมป์บ้า” อาศัย “ลูกบ้า” นานาชนิด เล่นงานจีนคราวแล้ว คราวเล่า แต่ถือว่าเป็นเพียงแค่ “คำพูด” ไม่ได้หนักหน่วงรุนแรง และเอาจริง-เอาจัง เท่ากับสิ่งที่ผู้สมัครแห่งเดโมแครต อย่าง “โจ ไบเดน” เตรียมที่จะประเคนใส่จีนในระยะต่อไป หรือขณะที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีขึ้นมาจริงๆ ดังนั้น...แนวโน้มที่จะเกิดการอ่อนข้อ ประนีประนอม หรือพอที่จะ “อยู่ร่วมโลก” กันได้ต่อไป ระหว่างจีนและอเมริกา จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าประธานาธิบดีรายใหม่ของอเมริกา ในช่วงหลังเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป จะเป็น “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจ ไบเดน” ที่ถูกชาวรีพับลิกันกล่าวหาว่าเป็น “China-loving candidate” หรือพวกที่รักจีน ชอบจีน ก็ตามที ภายใต้ “กระแส” หรือภายใต้บรรยากาศทางอารมณ์-ความรู้สึกของอเมริกันชนโดยส่วนใหญ่ ที่กำลังเป็นไปในลักษณะนี้นี่เอง ส่งผลให้แม้แต่นักข่าว นักหนังสือพิมพ์อิสระชาวออสเตรเลีย ประเทศที่ “เฮียสนธิ ลิ้มทองกุล” ของเรา เรียกว่า “ผู้ช่วยนายอำเภอ” หรือผู้ช่วยคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด อย่าง “นางCaitlin Johnstone” อดไม่ได้ที่ต้องออกมาเตือนสติบรรดาเพื่อนร่วมชาติชาวออสเตรเลียทั้งหลาย ผ่านทาง “ทวิตเตอร์” เมื่อไม่นานมานี้ว่า “The US is treating China like it’s Nazi Germany. This slide towards a 3rd world war needs to end before it’s too late” หรือการที่อเมริกากำลังกระทำต่อจีนไม่ต่างไปจากพวกนาซีเยอรมนี อาจเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงไปสู่การจุดชนวน “สงครามโลกครั้งที่ 3” ที่คงต้องเร่งหาทางยุติ ก่อนที่จะสายเกินไป เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ใครที่สนใจรายละเอียด เหตุผล ข้อมูล ที่เหยี่ยวข่าวอิสระรายนี้ นำมาเสนอให้เห็นอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ คงต้องลอง “คลิก” ไปหาอ่านเอาเองก็แล้วกัน แต่โดยสรุปรวมความแล้ว คุณ “Caitlin Johnstone” เธอเห็นว่า มันเป็นลักษณะอาการโดยปกติของประเทศที่ถูกออกแบบให้ต้องเดินไปในแนว “ลัทธิจักรวรรดินิยม” มาโดยตลอด อย่างประเทศอเมริกานั่นเอง ที่ทำให้ความรู้สึกเกลียดจีน กลัวจีน เกิดการแพร่ระบาด หรือทำให้อเมริกันชนรวมทั้งบรรดาประเทศที่เป็นพันธมิตรกับอเมริกาทั้งหลาย เกิดอาการติดเชื้อโรค “Sinophobia” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันอาจถือเป็นส่วนหนึ่ง หรือส่วนสำคัญของกระบวนการที่จะนำไปสู่ “สงครามโลกแบบช้าๆ” หรือแบบ “slow-motion world war”นั่นเอง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “ปรากฏการณ์” ที่วูบไหวไปมา หรือวูบๆ วาบๆ แต่เพียงเท่านั้น...

จริง-ไม่จริง...อันนี้คงต้องลองไป “ชั่งน้ำหนัก” ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...นับวัน การ “ใส่” กันระหว่างคุณพี่จีนและคุณพ่ออเมริกา ชักเป็นอะไรที่ดุเดือดรุนแรง ยิ่งเข้าไปทุกที และไม่ใช่แค่แต่เฉพาะ “คำพูด” ระหว่างกันและกันเท่านั้น แต่ยังค่อยๆยกระดับไปสู่ “การกระทำ” ที่อาจทำให้ความอดทน อดกลั้นของแต่ละฝ่ายขาดผึงเอาง่ายๆ!!! ไม่ว่าการหันไปยุแยงตะแคงรั่วชาวไต้หวัน ให้ออกมาแสดงอาการท้าทายต่อความเป็น “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” ของจีน อย่างชนิดแรงขึ้นๆ ไปตามลำดับ การหันมาก้าวก่าย การบริหารจัดการเกาะฮ่องกงของจีน ด้วยการเสนอกฎหมายฉบับแล้ว ฉบับเล่า ของสมาชิกวุฒิสภาอเมริกัน ชนิดแทบทำให้เกาะฮ่องกง กลายเป็น “เขตปกครองตนเองของอเมริกา” ไม่ใช่ “เขตปกครองตนเองของจีน” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยเฉพาะกฎหมายที่จะให้เกาะฮ่องกงอยู่ภายใต้อำนาจกฎหมายสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีอเมริกันประกาศว่าอาจต้องหยิบมาใช้ ถ้าหากสภาประชาชนของจีน (China’s National People’s Congress) คิดเสนอกฎหมายเพิ่มอำนาจการดูแลความมั่นคงให้กับคณะผู้บริหารเกาะฮ่องกง อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวคราวไปก่อนหน้านี้...ฯลฯ ฯลฯ...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกาในทุกวันนี้ มันคงไม่ใช่การกระทบกระทั่งระหว่าง “ลิ้นกับฟัน” ต่อไปอีกแล้ว แต่กำลังกลายเป็นการไล่ฟัด ไล่งับ แบบแค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่องอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการยิ่งเข้าไปทุกที หรือเป็น “slow-motion world war” ดังที่เหยี่ยวข่าวสาว อย่างคุณ “Caitlin Johnstone” เธอว่าไว้นั่นแหละ ปัญหาขึ้นอยู่กับว่าสงครามโลกที่เป็นไปแบบช้าๆ หรือแบบ “สโลว์โมชั่น” ที่ว่า กับสงครามโลกที่อุบัติขึ้นมาแบบฉับพลัน-ทันที มันจะมีความร้ายกาจร้ายแรงต่างไปจากกันมาก-น้อยเพียงใด อันนี้นี่แหละ...ที่ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา พึงต้องคิด ต้องประเมินเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับ “ลูกหลง” หรือ “ผลกระทบ” ที่หนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านี้...


กำลังโหลดความคิดเห็น