“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“ความรู้คืออำนาจ” คือวลีอมตะของ “ฟรานซิส เบคอน” นักปรัชญาชาวอังกฤษ!
ผมได้อ่านหนังสือต่อเนื่อง 2 เล่ม หนึ่ง-“ทาสพระพุทธเจ้า”ที่มีประวัติโดยสังเขปกับคมคำของ“พุทธทาสภิกขุ” สอง-“ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ชีวิต-มุมมอง-ความคิด” ซึ่งมีประวัติกับผลงานโดยสังเขปที่น่าสนใจอย่างยิ่ง!
หนึ่งในคำสอนของปราชญ์แห่งธรรม “พุทธทาสภิกขุ” ได้กล่าวไว้ว่า..
“การเป็นคนกับการเป็นมนุษย์นั้น ต่างกันไกลลิบ การเป็นคน พอสักว่าได้เกิดมาเป็นคนได้แล้ว ส่วนการเป็นมนุษย์นั้น หมายเฉพาะผู้มีใจสูง ใจสูงชนิดที่น้ำ กล่าวคือ ความชั่วและความทุกข์ท่วมไม่ถึง”
อืม..หลังอ่านข้อความข้างต้น ทำให้ผมคิดถึงพี่ชายที่เคารพรัก “อาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ที่ผมกับเพื่อนๆ เรียกว่า“จารย์โต้ง” ซึ่งพวกเราถือเป็น“มนุษย์คุณภาพ”แตกต่างจาก“คนทั่วไป”!
“จารย์โต้ง”เป็นปุถุชนคนธรรมดา มิใช่“เทวดา” หล่นมาจากฟากฟ้า ทว่า “จารย์โต้ง”มีจิตใจและวิถีชีวิตการทำงานที่ดีงาม จนถือเป็นหนึ่งใน“มนุษย์คุณภาพ”ของชาติไทย ที่อยู่เหนือ“คนธรรมดาสามัญ”ที่มีอยู่ดาษดื่น ซึ่งผมจะอรรถาธิบายต่อไปเรื่อยๆในบทความนี้..
เมื่ออ่านอีกคำสอนของ“พุทธทาสภิกขุ” ก็ยังมาตรงกับ “จารย์โต้ง” แบบเป๊ะปัง นั่นคือ
คำว่า “รักผู้อื่น” เพียงคำเดียวเท่านั้นแหละพอ มันพอจะเป็นทุกอย่างทุกประการ ในการที่จะแก้ปัญหา อันเกี่ยวกับสันติสุข และสันติภาพของคนเรา”
จริงแท้แน่นอน! คำที่ “พุทธทาสภิกขุ” ย้ำให้ “รักผู้อื่น”นั้น “จารย์โต้ง” มีจิตใจ“ รักผู้อื่น” ควบคู่ไปกับ “ช่วยผู้อื่น”มิหยุดหย่อน แถมมิรู้เหน็ดรู้เหนื่อยอีกด้วย โดย“จารย์โต้ง”มักจะต่อสู้และเป็นปากเสียง เพื่อให้ผู้คนได้รับความเป็นธรรม ได้พบกับสันติสุขกับสันติภาพมาโดยตลอด
ด้วยวิถีการทำงานของ “จารย์โต้ง” ถือเป็น “มนุษย์สารพัดนัก”ทีเดียวเชียวแหละ เช่น เป็นนักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ นักการทูต นักการเมือง นักเคลื่อนไหว นักสันติภาพ นักสิทธิมนุษยชน นักสิ่งแวดล้อม นักดนตรี นักร้อง นักคิด นักเขียน นักแปล ช่างภาพ จิตรกร ฯลฯ
การทำงานอย่างตรงไปตรงมาของ “จารย์โต้ง” ที่ยึดความถูกต้องเป็นหลัก จึงทำให้บางรัฐบาลและกลไกรัฐในภาคใต้ ไม่เข้าใจและเกิดอาการไม่พอใจ แต่ “จารย์โต้ง”จะพยายามอธิบายถึงเหตุผล ในเรื่อง“สิทธิมนุษยชน”ที่ต้องเคารพกันและกัน เพื่อการอยู่ร่วมกัน โดยยึดตามตัวบทกฎหมาย ดังนั้น แม้จะมีความแตกต่างกันทางด้านศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีอันหลายหลาก แต่มนุษย์ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขนี่นา..จริงไหม?
ดังนั้น ไม่ว่าฝ่ายใดใช้ความรุนแรง ด้วยการฆ่าฟันกันราวกับเป็น“ศัตรูคู่แค้น” กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า แก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้อย่างแน่นอน ทว่าการพูดคุยกัน-เข้าใจกัน-ให้ความรักต่อกันเท่านั้น ที่จะนำมาซึ่งสันติสุขและสันติภาพได้อย่างแท้จริง ฯลฯ
ทั้งนี้เพราะชีวิตจิตใจของ “จารย์โต้ง”นั้น เปี่ยมล้นด้วย “ความรัก”อย่างสม่ำเสมอ รัก-ในเหตุผลอันถูกต้องยุติธรรม รัก-ในผู้คนทั้งรู้จักและไม่รู้จัก รัก-ในชีวิตการต่อสู้ให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รัก-ในการต่อสู้เพื่อผลักดันชาติให้เจริญรุ่งเรืองมั่นคง ฯลฯ
ในขณะเดียวกัน “จารย์โต้ง” ก็ “เกลียด” เกลียด-ผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งรังแกผู้อ่อนแอกว่า เกลียด-รัฐที่ปล่อยให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ“ผู้มีรายได้น้อย” เกลียด-ผู้มีอำนาจที่คอร์รัปชั่นโกงชาติ เกลียด-กลุ่มนักการเมืองที่ชอบโกหกหลอกลวงประชาชน เกลียด-การใช้อำนาจแสวงหากับกอบโกย อำนาจ-เงินทอง-ผลประโยชน์สารพัด ให้กับตนเองและพวกพ้อง ฯลฯ
สิ่งที่ “จารย์โต้ง”รังเกียจเดียดฉันท์อย่างยิ่งนั้น ตรงกับคำแห่งธรรมที่ “พุทธทาสภิกขุ” ได้กล่าวไว้นานมาแล้วดังนี้..
คนสมัยนี้ “การเมืองขึ้นสมอง” ใช้การเมืองเป็นเครื่องกอบโกย ฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว การเมืองเลยกลายเป็นเรื่อง อัปรีย์จัญไรไปเสีย!”
“จารย์โต้ง”เป็นมนุษย์ที่เชื่อมั่นว่า “เงินทอง” กับ“อำนาจ”เป็นคุณอนันต์ หากอยู่ในกำมือของ “ผู้นำชาติดี” ได้ขึ้นกุมบังเหียน“รัฐบาล” เพราะจะได้ใช้อำนาจอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความถูกต้องเที่ยงธรรม และสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ให้ประชาชนส่วนใหญ่กินดีอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเสริมส่งให้สังคมเจริญรุ่งเรืองมั่นคง..
ทว่า ถ้า“อำนาจ”กับ“เงินทอง” อยู่ในมือ“กลุ่มนักการเมืองชั่ว” ที่ได้เป็น“ผู้นำชาติ”ในตำแหน่ง“นายกรัฐมนตรี” ชี้นิ้วบงการ“รัฐบาล”ได้แบบเบ็ดเสร็จ นั่นหมายถึงชาติไทยจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง จากการคอร์รัปชั่นโกงชาติอย่างมิรู้จบ บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยความอธรรมทุกหย่อมหญ้า เกิดความแตกแยกขัดแย้งกันและกัน จนหาความยุติธรรมและสันติสุขไม่ได้อีกต่อไป..
เฉกเช่นรัฐบาล “เผด็จการรัฐสภา” กับรัฐบาล “เผด็จการรัฐประหาร”ที่ผ่านมา มิได้ใช้อำนาจรัฐในทางสร้างสรรค์ชาติ เพื่อนำพาประชาชนไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะ“กลุ่มนักการเมืองชั่ว”กลับใช้อำนาจรัฐ แสวงหาและกอบโกยแต่ผลประโยชน์ ของชาติมากมายสารพัดใส่ตนเองและพวกพ้อง เพื่อ“ถอนทุนบวกกำไร” ด้วยการคอร์รัปชั่นโกงชาติอย่างมโหฬารตลอดมา โดยมิรู้จักคำว่าพอเพียง..
เฮ้อ..นั่นเป็น“อารัมภบท” ที่เพื่อนพ้องน้องพี่ล้วนรู้ว่า “จารย์โต้ง”แสดงตัวตนชัดเจนอย่างคงเส้นคงวาว่า “รัก”ในสิ่งดีงาม และ“เกลียด”ในสิ่งชั่วช้าสามานย์
ด้วยเป็นผู้รักความถูกต้อง “จารย์โต้ง” จึงออกปาก“ขอโทษ”สังคมอย่างเปิดเผย ต่อการกระทำบางเรื่องที่ผิดพลาดบกพร่อง ของ“พ่อ-ปู่-ลุงเขย”..ว้าว..แมนจัง เพราะยากที่จะหาคนแบบนี้ว่ะ..!
เอาล่ะ..ครานี้มาส่องดูวงศ์วานว่านเครือของ “จารย์โต้ง” ที่ทรงอิทธิพลอย่างสูงในชาติไทย โดยสายทาง “แม่-ท่านผู้หญิงบุญเรือน (นามสกุลเดิม โสพจน์)” มีศักดิ์เป็นหลานของ “สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าไปพำนักอาศัย ภายในบริเวณวังสระปทุม พระองค์ทรงพระเมตตาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี โดยให้ตามเสด็จพร้อมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไปศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลา 4 ปี
“คุณบุญเรือน”ได้กลับเมืองไทยเมื่ออายุ 17 ปี ก่อนจะเข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูการเรือน หลังจบการศึกษาก็ได้รับการบรรจุเป็นครู ที่โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ
ส่วนสายทาง “พ่อ-พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ”นั้น “จอมพลผิน ชุณหะวัณ” ปู่ของ “จารย์โต้ง” เป็นถึงอดีตผู้บัญชาการทหารบกและรองนายกรัฐมนตรี ทั้งยังเป็นผู้นำการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ซึ่ง “จอมพลผิน”เคยตอบคำถามถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ขอยกเพียงส่วนหนึ่งมาให้อ่านดังนี้
“อนึ่ง มีบุคคลเป็นอันมากวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวข้าพเจ้าว่า เป็นผู้นำรัฐประหารแล้ว เหตุใดจึงไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ข้าพเจ้ามีเหตุผลอยู่หลายประการ..
..ประการที่ 2 การเมืองมีการสลับซับซ้อนกันมาก เห็นตัวอย่างมาแล้ว ได้แก่พวกก่อการ 2475 พอทำการสำเร็จก็มีกบฏเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง ทั้งพวกก่อการด้วยกันเอง ก็แตกแยกเป็นหลายก๊กหลายพวก ถึงกับคุมพรรคพวกรบกันเอง เพื่อจะครองอำนาจเป็นใหญ่ ก็มีหลายครั้ง ยิ่งข้าพเจ้าไม่สนใจ และไม่มีความรู้ ตลอดจนไม่ได้ศึกษาเรื่องการเมืองแม้แต่น้อย เท่ากับมีฐานะเพียงพื้นราบ จะกระโดดทีเดียวให้ถึงยอด อาจจะตกมาคอหักตาย ด้วยกลไกวิถีทางการเมือง ก็เป็นได้..”
นั่นเป็นคำพูดของ “จอมพลผิน” หลังทำรัฐประหารสำเร็จ แล้วไม่ขึ้นไปเป็น“นายกรัฐมนตรี”!
“จารย์โต้ง” ยังเป็น“หลานลุง-พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ที่เป็นยุค“รัฐตำรวจ”ด้วยคำขวัญอันระบือลือลั่นว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้”
“ร.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ” พบรักกับครูสาว “คุณบุญเรือน โสพจน์” และแต่งงานกันในเดือนพฤศจิกายนปี 2488 มีบุตรธิดาด้วยกันสองคน “วาณี ชุณหะวัณ” เป็นพี่สาว และ“จารย์โต้ง” เป็น “ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน”
..โปรดติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์หน้า..