ต้องยอมรับว่า ความขัดแย้งในชาตินั้นไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้มีอำนาจทางการเมืองกับประชาชนอย่างเดียว แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วย และความขัดแย้งนั้นเริ่มมาตั้งแต่ประชาชนชุดหนึ่งออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ และฝั่งผู้มีอำนาจก็ได้จัดตั้งประชาชนที่สนับสนุนตัวเองออกมาปะทะขัดขวาง
จนวันนี้ความแตกแยกของประชาชนที่แบ่งเป็นสองฝ่ายยังปรากฏร่องรอยชัดเจนอยู่
นับเป็นเรื่องที่ดีที่คณะก้าวหน้าได้ลุกขึ้นมาถามหาความจริงในเดือนพฤษภาคม 2563 แต่ดูเหมือนว่า คณะก้าวหน้าจะถามหาความจริงเพียงด้านเดียว ก็คือด้านที่คณะก้าวหน้ามีจุดยืนทางการเมืองร่วมกันนั่นเอง
พูดให้ชัดลงไปในที่สุด ก็คือ คณะก้าวหน้านั้นมีจุดยืนร่วมกับระบอบทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นมวลชนของระบอบทักษิณ ดังนั้นวันนี้คณะก้าวหน้าจึงลุกขึ้นมาถามหาแต่เรื่องที่กลุ่มคนเสื้อแดงเสียชีวิตจากการเข้าสลายการชุมนุมของทหารเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2553
ถ้าคณะก้าวหน้ามองเห็นว่า การใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของทหารจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม ถ้านี่เป็นการมองด้วยสายตาที่เป็นธรรม คณะก้าวหน้าต้องตั้งคำถามต่อการเสียชีวิตของมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกยิงด้วยเอ็ม 79 ครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านี้ด้วย ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่า คณะก้าวหน้ามองเห็นแต่ชีวิตของคนที่มีจุดยืนทางการเมืองร่วมกันเท่านั้น ที่มีแต่คุณค่าและต้องเสียชีวิตลงอย่างไม่ยุติธรรม
เท่ากับว่าคณะก้าวหน้ามองว่ามวลชนที่ไม่มีจุดยืนร่วมหรืออยู่ตรงข้ามกับอุดมการณ์ของตัวเอง ชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ไม่มีคุณค่า หรือมองว่าคนไม่เท่ากัน
เรื่องที่มวลชนพันธมิตรฯ ถูกยิงด้วยเอ็ม 79 เสียชีวิตจำนวนมากนั้น แม้ไม่ได้เกิดจากการกระทำของอำนาจรัฐอย่างเปิดเผย แต่เป็นการกระทำที่มีอำนาจรัฐขณะนั้นหนุนหลังอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่มีการดำเนินคดีหรือสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย และต้องยอมรับจากจุดนั้นว่า กองกำลังลับที่อยู่ตรงข้ามกับพันธมิตรฯ นั้นได้รับสนับสนุนจากอำนาจฝั่งการเมืองที่คณะก้าวหน้าสนับสนุน
ในทางกลับกันระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีการระดมยิงอาวุธสงครามใส่สถานที่ต่างๆ หลายครั้ง และยังเป็นการยิงใส่ประชาชนฝั่งตรงข้ามออกมาจากที่ชุมนุมอย่างชัดแจ้งจนมีผู้เสียชีวิตในบริเวณศาลาแดงด้วย เรื่องเล่านี้เป็นประวัติศาสตร์ระยะสั้นที่ใครๆ ก็ยังจำกันได้
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงบางกลุ่มมีอาวุธปืนสงครามหรือไม่ เป็นที่รู้กันว่า เมื่อมวลชนฝั่งตรงข้ามของเสื้อแดงชุมนุมจะมีอาวุธสงครามมายิงถล่มตั้งแต่การชุมนุมของพันธมิตรฯ มาจนถึงการชุมนุมของ กปปส.ในยุคหลัง แต่คณะก้าวหน้าไม่เคยพูดถึงชีวิตที่สูญไปของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเองเลย
จุดเริ่มของโศกนาฏกรรมที่คณะก้าวหน้าจะตามหาความจริงนั้น ควรเริ่มต้นขึ้นเมื่อกองกำลังชุดนี้มาปรากฏตัวอย่างชัดเจนในวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ และใช้อาวุธสงครามยิงใส่ทหารที่พยายามเข้าไปสลายการชุมนุมในวันนั้น จนมีทหารเสียชีวิตหลายคนหนึ่งในนั้นคือพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศในขณะนั้น) นั่นต่างหากที่เป็นชนวนสำคัญที่ต้องตามหาความจริงว่า ความรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
มีคลิปจำนวนมากที่ปรากฏให้เห็นกลุ่มชายชุดดำอย่างชัดเจน และชายชุดดำเหล่านั้นก็ห้อมล้อมด้วยมวลชนเสื้อแดงนั่นเอง ไม่มีใครหรอกที่จะกล้าปฏิเสธความจริงในเรื่องนี้
เมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน รัฐบาลในขณะนั้นได้ยอมอ่อนข้อแล้ว เพราะรู้ว่าจะต้องเกิดการสูญเสียเกิดขึ้นแน่ ถ้าจะเข้าสลายกำลังก็จะต้องมีการปะทะกับกองกำลังติดอาวุธอย่างเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีปรากฏการณ์แบบนี้ในโลกบ่อยหรอกครับ ที่ฝั่งรัฐบาลจะยอมลดตัวลงไปเจรจากับฝ่ายผู้ชุมนุม และดูเหมือนว่าฝ่ายรัฐบาลจะยอมถอยร่นรับเงื่อนไขของฝ่ายผู้ชุมนุม นั่นก็คือ การให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่นั่นเอง
ถ้าเหตุการณ์จบลงตรงนั้นทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดีไม่มีการเสียชีวิตอีก ฝ่ายผู้ชุมนุมก็แยกย้ายกันกลับบ้านแล้วรอวันที่ฝ่ายรัฐบาลตกลงว่าจะยุบสภาให้เลือกตั้งกันใหม่ แต่วันนั้นแกนนำเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งกลับไปแล้วเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมสลายการชุมนุมไงครับ
เรื่องที่ไม่ยอมสลายการชุมนุมนั้นหาอ่านได้จากบันทึกของวิสา คัญทัพ เพราะวิสากับแกนนำบางกลุ่มเช่นวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ประกาศถอยจากการชุมนุมในวันนั้นทันที เพราะไม่เห็นด้วยกับที่แกนนำบางคนไม่ยอมยุติการชุมนุม โดยบันทึกของวิสาอ้างว่า แกนนำบางคน “ต้องการชัยชนะที่มากกว่านั้น”
การต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่ยอมสลายการชุมนุมชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแบบมีประชาชนผู้ชุมนุมเป็นโล่กำบัง
จากจุดนี้เองที่ทำให้ทหารต้องเข้าสลายการชุมนุม และแน่นอนว่า ทหารที่เข้ามามีอาวุธสงคราม เพราะมีบทเรียนมาแล้วจากวันที่ 10 เมษายนที่เข้าไปสลายกำลังด้วยมือเปล่ามีแต่โล่กับกระบองแล้วถูกชายชุดดำยิงถล่มอย่างย่อยยับมีคนเจ็บและเสียชีวิต บทเรียนของฝ่ายทหารมีอยู่แล้วตั้งแต่วันนั้น ครั้งนี้จึงต้องมีอาวุธพร้อม แน่นอนว่ากำลังที่เหนือกว่าของทหารจึงเป็นเหตุที่ทำให้ผู้ชุมนุมต้องเสียชีวิตจำนวนมาก
เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเศร้าสลดและเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง แต่แกนนำเสื้อแดงนั้นรู้อยู่แก่ใจใช่หรือไม่ว่า ต้องการใช้มวลชนเป็นโล่เพื่อต่อสู้แย่งชิงอำนาจรัฐที่ฝ่ายเขาก็มีความชอบธรรมที่จะตอบโต้เพื่อรักษาอำนาจรัฐและมีการสูญเสียตามมา
ผมเชื่อนะครับว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาวุธหรอก แต่มีผู้ชุมนุมบางคนนั้นมีอาวุธอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะปรากฏเหตุการณ์หลายครั้งอย่างที่กล่าวมาแล้ว และหลังเข้าสลายการชุมนุมก็พบอาวุธปืนและกระสุนจำนวนมากดังที่ปรากฏเป็นข่าวอย่างเปิดเผย มีการนำมาแสดงให้ผู้สื่อข่าวและคณะทูตต่างชาติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ดังนั้นคณะตามหาความจริงในนามคณะก้าวหน้า นอกจากต้องตามหาความจริงของผู้เสียชีวิตฝั่งตรงข้ามที่ถูกยิงด้วยเอ็ม 79 รวมถึงความรุนแรงในเหตุการณ์ 7 ตุลาคมแล้ว ถ้าจะตามหาความจริงว่า ใครยิงประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภาคม 2553 ก็ควรจะตามหาความจริงด้วยการเริ่มตั้งแต่จากบันทึกของวิสา คัญทัพว่า ทำไมแกนนำจึงไม่ยอมสลายการชุมนุม และเป้าหมายที่ต้องการมากกว่านั้นคืออะไร เพราะอาจจะพบว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่นำมาสู่การเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมาก
ต้องตามหาความจริงว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเริ่มจากปี 2549 จากการที่ประชาชนฝั่งหนึ่งมองว่า รัฐบาลในขณะนั้นใช้อำนาจอย่างไม่ชอบจนมีการจัดตั้งมวลชนขึ้นมาปะทะ และปลุกปั่นมวลชนเรื่อยมาจนใช้ประชาชนของตัวเองเป็นเกราะกำบังสลับไปกับการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาปะทะเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐนั่นต่างหาก ที่เป็นสาเหตุให้ประชาชนล้มตายเสียชีวิตใช่หรือไม่
คณะก้าวหน้าที่ตามหาความจริงจะได้มีความเป็นมนุษย์ที่มองเห็นคุณค่าของมนุษย์ ไม่ใช่เห็นแต่คุณค่าชีวิตของมวลชนฝ่ายที่มีจุดยืนทางการเมืองเดียวกับตัวเองเท่านั้นที่เป็นมนุษย์
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan