“อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ขอบคุณ “อัมสเตอร์ดัม” ที่ทำให้คนไทยตาสว่าง กรณีแถลงการณ์ “ทักษิณ” ส่งมาช่วย นปช. ด้าน “หมอวรงค์” แฉหมดเปลือกนักประชาธิปไตยจอมปลอม สร้างเงื่อนไขรุนแรงและความเกลียดชัง หลอกเด็กมาตาย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 พ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “เบื้องหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภา”
โดยระบุว่า “เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนอาถรรพ์ที่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองจะต้องจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ไม่ว่าจะปี 2535 หรือปี 2553
ในปีนี้ ครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์ปี 53 ซึ่งปกติแกนนำ นปช.ต้องจัดงานใหญ่ แต่ปีนี้เหมือนแกนนำ นปช.ตั้งใจที่จะประชาสัมพันธ์เผยแพร่แต่การจัดงานทำบุญเพียงอย่างเดียว และเป็นการจัดที่วัด แทนที่ปกติจะจัดที่แยกราชประสงค์ เหมือนโลว์โปรฟาย เปิดทางให้กลุ่มก้าวหน้าฉายเดี่ยว ตามหาความจริง ไปแต่ลำพัง
แต่อยู่ดีๆ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม กลับออกมาออกแถลงการณ์ รำลึกเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 และเล่าว่า ตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างใกล้ชิด
ประการสำคัญ นายอัมสเตอร์ดัม เปิดเผยว่า เข้ามาอยู่ในเหตุการณ์เพราะทักษิณจ้างให้ทำหน้าที่เป็นทีมกฎหมาย เพื่อให้คำปรึกษา นปช. เพื่อปลดล็อกรัฐบาลในขณะนั้น ที่นายอัมสเตอร์ดัมเขียนเองว่า เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม เข้ามาด้วยการจัดการของศาล ที่โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
อย่างน้อยต้องขอบคุณนายอัมสเตอร์ดัม ที่บอกข้อเท็จจริงให้คนไทยตาสว่าง หายสงสัยในความคลุมเครือมาตลอด 10 ปี
วันนี้ คนต่างชาติ ทนายรับจ้างออกมาเคลื่อนไหว กล่าวหารัฐบาลปี 53 แถมท้ายว่า คนต้องไม่ตายฟรี และความจริงต้องถูกเปิดเผย
ต้องถามว่า หายเงียบไปหลายปี วันนี้มาออกแถลงการณ์ มีใครจ้างให้ทำ และอาชีพทนายความทำอย่างนี้ อาศัยจรรยาบรรณข้อไหนในการทำแถลงการณ์อย่างนี้ หรือนี่จะเป็นการปูกระแสอะไรหรือเปล่า”
ความจริง ไม่แต่เฉพาะนายอัมสเตอร์ดัมเท่านั้น ที่ “หลุด” คำพูด “ทักษิณ” ออกมา หรือ คนจ้างจงใจให้รู้ความจริง ก็ไม่แน่?
ยังมีกรณีของ นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ แกนนำแนวร่วม นปช.และ อดีตโฆษกกระทรวงมหาดไทย ที่กล่าวถึงกรณี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิง นปช.บ่อยครั้ง จนสุดทน โดยขู่ว่าจะแฉ ซึ่งกล่าวตอนหนึ่งว่า
“...อยากขอให้นายสุภรณ์หยุดการกระทำต่างๆ ที่ทำให้คนอื่นและแนวร่วม นปช.เสียหาย หากยังไม่หยุด ตนก็จะขอพูดบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่นายสุภรณ์ พยายามตั้งกองกำลังแล้วทำโปรเจกต์ไปเสนอคนทางไกล แต่เขาไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่แนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในวันนั้นนายสุภรณ์รู้สึกเจ็บปวดหรือเสียดายอย่างไร...”
โดยคนทางไกลที่รับรู้กันมาตลอด ก็คือ “ทักษิณ” นั่นเอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น วันนี้เช่นกัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์หัวข้อ “ชี้หมูแต่บอกว่าหมา”
เนื้อหาระบุว่า “วันหนึ่งมีเกเรกลุ่มหนึ่ง ยืนรวมกลุ่มกัน ทุกคนเอานิ้วชี้ไปที่หมู และตะโกนพร้อมกันว่า เป็นหมา เด็กคนอื่นก็งงๆ บอกกลับไปว่าหมู เด็กเกเรกลุ่มนี้ก็ยังบอกว่าหมา
มันก็ไม่ต่างกับเหตุการณ์ช่วงนี้ ที่มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง มาตะโกนพร้อมกัน โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง บอกว่า พ.ค. 53 ทหารยิงหัวประชาชน ขณะที่ประชาชนทั่วไป เขารับรู้ว่า มีชายชุดดำมายิงทหาร ขว้างระเบิดใส่ทหาร ไม่ใช่การชุมนุมที่สงบ แต่มีกองกำลังติดอาวุธ
จน พ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต พร้อมทหารอีก 4 นาย บาดเจ็บ 300 กว่านาย (ในค่ำวันที่ 10 เมษายน) การต่อสู้ด้วยอาวุธสงครามจึงเกิดขึ้น โดยเขาหลอกประชาชนมาเป็นโล่กำบังให้ชายชุดดำ ซึ่งแผนดังกล่าวก็คือแก้วสามประการนั่นเอง (พรรค มวลชน และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย)
บางคนบอกว่า ทำไมชายชุดดำไม่ถูกยิง ก็เพราะความใจดำที่หลอกเอาประชาชนมาเป็นโล่ ความสูญเสียจึงเป็นประชาชนและทหาร
ถ้ามองย้อนไป คนกลุ่มนี้เคยมีอำนาจต่อเนื่อง เราก็จะพบว่าไม่ได้เป็นนักประชาธิปไตยเหมือนปาก มีตั้งแต่ใช้อำนาจไม่ชอบ เป็นเผด็จการรัฐสภา โคตรโกง และโกงทั้งโคตร จังหวัดไหนไม่เลือกดูแลทีหลัง
ฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ ฆ่าที่กรือเซะ ฆ่าที่ตากใบ ความตายของพันธมิตรฯ และ กปปส. ขนาดวันที่ 31 ธันวาคม ยังให้เป็นวันราชการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เหิมเกริมออกกฎหมายล้างผิด สุดท้ายก็ถูกประชาชนออกมาไล่ถึง 2 ครั้ง
คนกลุ่มนี้เอง ไม่เคยพูดสักคำต่อปัญหาที่พูดมา ยิ่งคนที่อ้างว่า เป็นคนรุ่นใหม่ ก็ไม่เบากว่ากัน โดยเฉพาะโกหกเป็นอาจิณ โกหกจนนับไม่ถ้วน ขนาดเงิน 3,000 บาทถ้วนหน้า จ่ายใครบ้าง จนป่านนี้ยังไม่รู้เรื่องเลย ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขุดแต่อดีตมาสร้างความเกลียดชัง
ระหว่างดึงประเทศถอยหลัง หลอกเด็กมาตาย เพื่อสร้างความรุนแรงและชิงอำนาจรัฐ กับประเทศเดินหน้า บ้านเมืองสงบสุข เดินไปสู่วิถีปกติใหม่ของสังคมไทย คนไทยจะเลือกสิ่งไหน แต่ผมเชื่อว่า สังคมมีความตื่นตัว ร่วมไม้ร่วมมือสูงมาก ถ้าผ่านจุดนี้ได้ จะเป็นโอกาสที่ดีให้ประเทศไทย ที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง”
แน่นอน, ทำไมประเด็นที่ว่า ใครอยู่เบื้องหลังจึงน่าสนใจที่สุด ก็เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า แท้จริงแล้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มีคนเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย และบาดเจ็บจำนวนมากนั้น ลำพังรัฐบาลขณะนั้น และทหาร ตบมือข้างเดียว ไม่ดังอยู่แล้ว จะต้องมีพลังอำนาจของอีกฝ่าย เป็นแรงปะทะ ซึ่งยิ่งมีพลังอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างแรงปะทะได้มาก หรือพูดง่ายๆ ทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวไม่หวั่นกลัวแม้แต่น้อย ต่อการปราบปราม
ถ้าจำไม่ผิด การชุมนุมเมื่อปี 53 มีการเจรจาต่อรองอยู่หลายครั้ง และเมื่อการเจรจาใกล้บรรลุผล อยู่ๆ ก็พลิกไม่ยอมเอาดื้อๆ เหมือนมีใครอยู่เบื้องหลังการเจรจานั้นหรือไม่ นี่ก็อีกประเด็นที่น่าสนใจ และไม่มีใครพูดถึง ซึ่งใครที่เคยเป็นสื่อมวลชนในช่วงนั้น คงจำกันได้
อีกประเด็น อย่าลืม และอย่าดันทุรัง ว่า ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ จะเรียกชุดอะไรก็แล้วแต่ มันไม่สำคัญกว่า ว่า “มี”
ทั้งนี้ อ้างถึงสำนักข่าวอิศราเปิดรายงานพิเศษเรื่อง ไขความลับ การตายของ “เสธ.แดง” หัวหน้ากองกำลังพระเจ้าตาก ผ่าน www.isranews.org/ โดยเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งของรายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีการแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อบ่ายวันที่ 17 กันยายน 2555
ตอนหนึ่งระบุว่า “....แม้ นปช. จะเคยประกาศว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ นปช. แต่ยังปรากฏว่า แกนนำ นปช. บางคน และการ์ด นปช.บางส่วนยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งยังคงมีบทบาทอย่างมากในการชุมนุมของ นปช. โดยเฉพาะบทบาทในกลุ่มการ์ด นปช. ....
และรายงานเดียวกัน ระบุอีกว่า “...พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นที่เคารพนับถือในหมู่การ์ด นปช. บางส่วน ซึ่งเห็นว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งจะมาช่วยปกป้องผู้ชุมนุมและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุม
โดย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ได้จัดตั้งและฝึกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง เรียกว่า “นักรบพระเจ้าตาก” เพื่อให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่การชุมนุม โดยดำเนินการจัดตั้งมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ นปช.เรียกว่า เหตุการณ์ “เมษาเลือด” ซึ่ง นปช. กล่าวหาว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ชุมนุม นปช. ทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายเป็นจำนวนมาก
จากเหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เชื่อว่า นปช.จะต้องมีกองกำลังอาวุธ จึงจะสามารถเอาชนะรัฐบาลได้ และได้เสนอความคิดเห็นดังกล่าวต่อแกนนำ นปช. และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่แกนนำ นปช. ส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิพล...”
ทำไมความจริงส่วนนี้ไม่มีใครพูดถึง หรือต่อจิ๊กซอว์ให้เห็น ว่า แท้จริงแล้ว อยู่ดีๆ รัฐบาลสั่งทหารเข้าไปสลายการชุมนุม แล้วก็ยิงประชาชนอย่างไม่ปรานีปราศรัย เหมือนคนบางกลุ่มพยายามจะ “เสี้ยม” ให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาใหม่ และปลุกเยาวชนคนรุ่นหลังให้หลงในกลเกมแห่งอำนาจ กลเกมที่ต้องการบ่มเพาะความเกลียดชังของคนในชาติ จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองหรือไม่
อย่าลืม เวลานี้มีความเกลียดชังกันตั้งแต่แบ่งฝ่ายเผด็จการ กับ ประชาธิปไตย แบ่งฝ่ายอนุรักษนิยม กับฝ่ายเสรีนิยม แบ่งความเชื่อคนรุ่นเก่า กับคนรุ่นใหม่ แบ่งพรรคแนวร่วมเผด็จการ พรรคแนวร่วมประชาธิปไตย ไม่นับแบ่งสีเสื้อกันอยู่ก่อน และวันนี้ก็ยังไม่คลี่คลาย ฯลฯ
เพราะฉะนั้น การเลือกเอาความจริง มาเฉพาะที่เป็นประโยชน์ในการเล่นเกมการเมือง คือ สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด และอันตรายที่สุด ไม่เชื่อลองคิดดูให้ดี