วันนี้...อาจไม่ต้องเสียเวลาร่อนไป-ร่อนมา ณ น่านน้ำ หรือ ณ ซีกโลกไหนๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะคงต้องขออนุญาตชวนให้ “มุด” เข้าไปใน “ทำเนียบขาว” กันโดยเฉพาะ เพื่อลองไปสำรวจตรวจสอบ ลักษณะอาการของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่จู่ๆ ดันหันไปคว้าตัวยาที่เรียกๆ กันว่า “Hydroxychloroquine” หรือยาที่เขาเอาไว้ใช้แก้โรคมาลาเรีย มากรอกปากตัวเองซะยังงั้น!!! แถมยังออกมาชี้แจง แถลงข่าว โฆษณาสรรพคุณ ว่าสามารถช่วยป้องกันให้ตัวเองไม่ต้องตกเป็นเหยื่อเชื้อไวรัสจากจีน หรือไม่ต้องติดเชื้อโคโรนาไวรัส “COVID-19” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เป็นอย่างยิ่ง แม้องค์การอาหารและยา (FDA) ของอเมริกาเอง จะออกมาเตือนว่าอาจเป็น “อันตราย” อันเนื่องมาจากการใช้ตัวยาอย่างผิดวัตถุประสงค์ก็ตาม...
คือไม่ว่าตัวยา “Hydroxychloroquine” จะมีส่วนช่วยให้ไม่เกิดการติดเชื้อ “COVID-19” หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าอาจก่อให้เกิด “ผลข้างเคียง” มิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ซึ่งอาจมี “เชื้อบ้า” สะสมอยู่ภายในร่างกายตัวเองมาก่อน ชนิดเผลอๆ อาจนำมาซึ่งอาการ “ประสาทหลอน” นำไปสู่การเป็น “โรคกลัวจีน” (Sinophobia) ที่มิอาจรักษาให้หายขาดใดๆ ได้เลย มีแต่จะยิ่งบ้า...กับ...บ้า ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เรียกว่า...บ้าถึงขั้นต้องออกมาข่มขู่ผู้บริหาร ผู้อำนวยการองค์การระหว่างประเทศ อย่างองค์การอนามัยโลก (WHO) แบบสดๆ ร้อนๆ ว่าถ้า “ไม่ปรับปรุงการทำงานให้เป็นอิสระจากจีน” ภายใน 30 วัน รัฐบาลอเมริกันอาจตัดสินใจตัดงบประมาณอุดหนุน “WHO” จากที่เคยแค่ระงับชั่วคราว กลายเป็นการยกเลิกอุดหนุนโดยถาวร เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อันที่จริง...คงต้องยอมรับว่า “โรคกลัวจีน” นั้น เป็นสิ่งที่ “แพร่ระบาด” อยู่ในอเมริกามานานแล้ว โดยเฉพาะในหมู่นักการเมืองประเภทขวาจัด หรือขวาคลั่งทั้งหลาย อย่างประเภท “นายสตีฟ แบนนอน” (Steve Bannon) อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงรายแรก ของทำเนียบขาว ที่ถือเป็นตัวแพร่เชื้อ หรือเป็นพาหะของโรคชนิดนี้อย่างชนิดเอาการ-เอางาน แม้ว่าจะถูก “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจ “ถีบทิ้ง” ไปแล้ว แต่ “เชื้อบ้า” ที่เคยแพร่ๆ เอาไว้ก็ น่าจะยังคงอยู่ ทั้งภายในตัวประธานาธิบดี และภายในคณะผู้บริหารรัฐบาล ที่สามารถใช้เชื้อโรคชนิดนี้มาสร้าง “คะแนนนิยม” หรือสร้างประโยชน์โพดผลต่างๆ ในหลายรูป หลายแบบ...
ความกลัวจีน หรือโรคกลัวจีนนั้น...ไม่เพียงจะหาตัวยาใดๆ มารักษาให้หายขาดได้ยากส์ส์ส์เอามากๆ เพราะเป็นโรคที่หนักไปในทางก่อให้เกิด “อาการทางจิต” หรืออาการ “ประสาทหลอน” นั่นแหละเป็นหลัก เมื่อยิ่งมาเจอกับการหันไปคว้ายารักษาโรคมาลาเรียมากรอกปากตัวเองวันละ 3 เวลาหลังอาหาร มันก็เลยอาจส่งผลให้มีแต่ยิ่ง “บ้า...กับ...บ้า” หนักขึ้นไปใหญ่ จนไม่ใช่แค่เกิดภาพหลอน ว่าองค์การระหว่างประเทศภายใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ ที่ตัวเองเคยสั่งหันซ้าย-หันขวามาโดยตลอด ชักไม่เป็นอิสระ หรือชักหันไป “อวยจีน” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่กระทั่ง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอเมริกาเอง อย่างประเทศอิสราเอล ที่ใกล้ชิดติดพันกันจนแทบไม่รู้ว่าไผเป็นไผ ใครเป็นใคร หรือรัฐบาลประเทศใดเป็นของประเทศใดกันแน่ สนิทชิดเชื้อชนิดรัฐบาลอเมริกันแต่ละยุคแต่ละสมัย มักถูกเรียกขานว่า “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” ด้วยแล้ว ยิ่งหนุบหนับ นัวเนีย อีรุงตุงนังหนักขึ้นไปใหญ่ แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังต้องเจอกับอาการ “ประสาทหลอน” จากโรค “Sinophobia” หรือโรคกลัวจีนกันจนได้!!!
ถึงขั้นต้องส่งรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายไมค์ ปอมเปโอ” เดินทางไป “เตือน” รัฐบาลอิสราเอลกันถึงที่ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ระมัดระวังการติดต่อสัมพันธ์ ไม่ว่าทางการค้า การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา และการวิจัย ฯลฯ กับจีน อย่างเป็นงานเป็นการ อาจด้วยเหตุเพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา...การอาศัย “อำนาจอย่างอ่อน” หรือ “Soft Power” ของจีน ในการผลักดันอภิมหาโครงการ “One Belt, One Road” หรือโครงการ “เส้นทางสายไหมใหม่” ออกจะเป็นอะไรที่ได้ผลเอามากๆ แม้แต่กับประเทศพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอลก็ตาม ดูได้ไม่ยากจาก “ปริมาณการค้า” ระหว่าง 2 ประเทศ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับรอบ 10 ปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้นเป็น 11,900 ล้านดอลลาร์ จนทำให้จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของอิสราเอล รองจากอเมริกา ที่ไม่เพียงแต่ค้ากับอิสราเอลเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ด้วยมูลค่าการค้าประมาณ 31,800 ล้านดอลลาร์ แต่ยังพร้อมควักเงินภาษีของราษฎรอเมริกัน ไปประเคนให้รัฐบาลอิสราเอลปีละไม่ต่ำกว่า 3,800 ล้านดอลลาร์ เอาไว้ใช้จ่ายในด้านการทหาร ความมั่นคง และอะไรต่อมิอะไรไปตามเรื่อง ตามราว...
แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดอาการ “ประสาทหลอน” ต่อรัฐบาลอเมริกันอย่างเป็นพิเศษ ก็อาจเป็นเพราะรัฐบาลอิสราเอลทำท่าว่าชักเริ่มติดอก ติดใจ ชักหลงเสน่ห์ “เงินหยวน” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นวางเป้าหมายที่จะขยายความร่วมมือทางการค้า และความร่วมมือในด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การวิจัย และพัฒนาทางเทคโนโลยี ฯลฯ เกิดโครงการแลกเปลี่ยนระหว่าง 7 มหาวิทยาลัยของทั้ง 2 ประเทศ ที่จะส่งนักศึกษาไปเล่าเรียน ไปศึกษาและวิจัยในด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ฯลฯ จนนักศึกษาจีนในอิสราเอลทุกวันนี้มีไม่ต่ำกว่า 1,000 คนในแต่ละปี ความกลัวจีน หรือความประสาทหลอน ว่าจีนอาจอาศัยช่องทางเหล่านี้ “ขโมยทรัพย์สินทางปัญญา” จากอเมริกา ผ่านทางพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ที่ชักติดอก ติดใจ เสน่ห์เงินหยวนยิ่งขึ้นทุกที จึงทำให้รัฐบาลอเมริกันถึงกับต้องส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ไป “เตือน” รัฐบาลอิสราเอลอย่างเป็นทางการ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
และเผอิญว่า...ช่วงที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกัน “นายไมค์ ปอมเปโอ” เดินทางไปเยือน หรือไปเตือนรัฐบาลอิสราเอล ดันเป็นช่วงจังหวะเวลาเดียวกันกับที่ “ทูตคนใหม่” ของจีนประจำอิสราเอล คือ “นายตู้ เหว่ย” (Du Wei) ซึ่งเดินทางมารับตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง แถมยังหนุ่ม ยังแน่น แต่ดันมา “ตายปริศนา” คาเตียง คาบ้าน หลังผ่านการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการป้องกันเชื้อ “COVID-19” ในบ้านพักของตัวเอง โดยยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเป็นเพราะไหลตาย หัวใจวายตาย หรือตายเพราะสาเหตุใดกันแน่!!! ความกลัวจีนของอเมริกาจึงถูกนำไปขยายความ ต่อเติมเสริมแต่งให้กลายเป็นเรื่อง เป็นราว กลายเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” ในโลกโซเชียล มีเดียของอิสราเอล จนชาวอิสราเอลหลายต่อหลายราย พลอยต้องเกิดอาการ “ประสาทหลอน” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
หรือทำให้ชาวอิสราเอลจำนวนไม่น้อย เกิดความหวาดระแวงแคลงใจ ความไม่ชอบใจ ไม่มั่นใจ ต่อการนุงนัง นัวเนียกับรัฐบาลอเมริกัน ที่ชักออกอาการ “บ้าไปแล้ว” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยถ้าหากคิดไปคว้ายา “Hydroxychloroquine” หรือยาแก้โรคมาลาเรียมากรอกปากตัวเองด้วยแล้ว เผลอๆ...อาจยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่!!! ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลก ที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งค่อนข้างชำนาญในการหลบหลีกเอาตัวรอดปลอดภัยไว้ก่อน อย่าง “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” จึงตัดสินใจโดดหนี ไม่คิดจะเอาด้วยกับการเล่นงานองค์การอนามัยโลก ตามการชี้แนะ ชี้นำของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” แม้ได้ชื่อว่าเป็น “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ระดับไหน เพียงใด ก็ตาม ดังนั้น...ภายใต้สภาพที่ไร้ญาติ ขาดมิตร หาพันธมิตรใดๆ แทบไม่ได้ ระดับ “แม้พัดลมยังส่ายหน้าเลย” โอกาสที่รัฐบาลอเมริกันจะใช้ “สงคราม” เป็นทางออก ไม่ว่ากับ “ศัตรู” รายใดก็ตาม ก็น่าจะยิ่งยากส์ส์ส์ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...