ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย "ดีอีเอส" เปิดตัวแอปฯ "ไทยชนะ" ชวน ปชช.เช็กอินตรวจสอบร้านค้าก่อนใช้บริการ "อนุทิน" ตรวจห้าง เน้นคัดกรองเข้ม สมช.แย้มคลายล็อกเฟส 2 เปิดห้างเกือบทุกแผนก ปิด 3 ทุ่ม เว้นโรงภาพยนตร์-คาราโอเกะ-ตู้เกมส์-โรงเรียน
วานนี้ (14พ.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบค. แถลงว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยแระจำวันว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 39 ปี ทำงานที่ จ.ภูเก็ต เดินทางกลับภูมิลำเนา จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 2 พ.ค. พร้อมลูกและภรรยา เป็นผู้ป่วยที่มาจากการค้นหาเชิงรุกโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ โดยไม่แสดงอาการ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,018 ราย หายป่วยสะสม 2,850 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 56 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่
เปิดตัวแอปฯ“ไทยชนะ”สู้โควิด
ด้าน นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ศบค.ได้มีการทำแอปพลิเคชั่น ชื่อ "ไทยชนะ" โดยจะทำหน้าที่จัดการดูแลเรื่องมาตรการ 5 ข้อ ของศบค. โดยเริ่มต้นผู้ประกอบการ หรือร้านค้า จะต้องไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ เพื่อให้ได้คิวอาร์โค้ดมาแปะที่หน้าร้าน และเมื่อประชาชนมาใช้บริการ จะต้องสแกนคิวอาร์โค้ด ถือเป็นการเช็กอิน และลงทะเบียนข้อมูลไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยระบบของแอปพลิเคชั่น ประชาชนจะทราบปริมาณความหนาแน่นของผู้ใช้บริการในร้านค้านั้นๆ และสามารถตัดสินใจว่าจะใช้บริการหรือไปร้านอื่น ตลอดจนยังมีบริการอื่นๆที่เกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 ด้วย
“เกาหลีใต้” ขอนักธุรกิจเข้าไทย
ด้าน นายสมคิด จาตุศรีพทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับ นายนายอี อุก-ฮ็อน (Mr. Lee Wook-heon) เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ที่เข้าหารือถึงแนวทางการผ่อนปรนให้นักธุรกิจ และภาคเอกชนของเกาหลีใต้ เดินทางมาเจรจาธุรกิจในไทยได้ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ถึงความเป็นได้ ในการเดินทางเข้ามา ซึ่งจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสาธารณสุข และ ศบค. จะเป็นผู้พิจารณา นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศที่ติดต่อขอให้ไทยผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศด้วย
"อนุทิน" ตรวจห้างก่อนลุ้นเปิด
วันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข พร้อมคณะ ลงพื้นที่บริเวณศูนย์การค้าสยามพารากอน และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กทม. เพื่อตรวจสอบความพร้อมของห้างสรรพสินค้า ก่อนเปิดให้บริการ โดยนายอนุทินระบุว่า ประเทศไทยสามารถคุมการระบาดของโรคได้ เพราะความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายที่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ทั้งนี้ที่ผ่านมา ต้องขออภัยผู้ประกอบการหลายท่าน แต่รัฐจำเป็นต้องยกระดับการควบคุมโรค เพราะต้องคำนึงถึงชีวิตประชาชนเป็นสำคัญ ล่าสุด ศบค.ได้กำหนดมาตรการผ่อนปรน และเริ่มปฏิบัติจริง เพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างใกล้เคียงปกติมากที่สุด สำหรับศูนย์การค้าการจะเปิดได้ คือทางผู้ประกอบการต้องมีความพร้อม ซึ่งได้มอบหมายให้กรมอนามัย ลงไปตรวจสอบและให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการ
“การจะเปิดบริการได้ ผู้ประกอบการ ต้องจัดจุดคัดกรองบริเวณทางเข้า ต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ให้ผู้มาใช้บริการสวมหน้ากาก ต้องจัดจุดล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงนี้ การคัดกรองผู้มาใช้บริการต้องทำอย่างเข้มงวด ตรงนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการต้องใจแข็ง ถ้ามีไข้ ห้ามเข้า ไม่มีหน้ากาก ห้ามเข้า” นายอนุทิน กล่าว
ศบค.เคาะขยับเคอร์ฟิวส์วันนี้
ขณะที่ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยภายหลังร่วมประชุม ศบค. ชุดเล็ก กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อนำมติเสนอที่ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด -19 ) ในครั้งที่ 1/2563 เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) รายงานต่อนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า การประชุมในวันนี้ถือว่าไม่ใช่การประชุมที่เป็นทางการ มีการนำเสนอรายงานผลการประชุมสำหรับทิศทางการคลายล็อกเป็นไปตามที่สื่อมวลชนนำเสนอไปบ้างแล้ว โดยการเปิดห้างสรรพสินค้าอาจมีการปิดบางแผนก แต่ส่วนใหญ่จะเปิดหมดเกือบทุกกิจการภายในห้างสรรพสินค้า เว้นแต่กิจกรรมที่มีความเสี่ยง อย่างโรงภาพยนตร์ คาราโอเกะ ตู้เกมส์ โรงเรียนกวดวิชา ที่ต้องสั่งห้ามเปิดไปก่อน และทางห้างสรรพสินค้าต้องปิดภายในเวลา 21.00 น.
ส่วนกระแสข่าวการประกาศลดเวลาเคอร์ฟิว จากช่วงเวลา 22.00-04.00 น. เป็นเวลา 23.00-04.00 น.นั้น พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการร้องขอของผู้ประกอบการ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ศบค. ซึ่งในวันนี้ (15 พ.ค.) นายกฯจะพิจารณาอีกครั้งในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่
“การปรับเวลาเคอร์ฟิวจะปรับตามกิจกรรมหรือกิจการ ที่คลายล็อกออกมาเป็นตัวตั้ง ซึ่งจะไม่มากไปกว่าเดิม” พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว
วานนี้ (14พ.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบค. แถลงว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยแระจำวันว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 39 ปี ทำงานที่ จ.ภูเก็ต เดินทางกลับภูมิลำเนา จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 2 พ.ค. พร้อมลูกและภรรยา เป็นผู้ป่วยที่มาจากการค้นหาเชิงรุกโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ โดยไม่แสดงอาการ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,018 ราย หายป่วยสะสม 2,850 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 56 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่
เปิดตัวแอปฯ“ไทยชนะ”สู้โควิด
ด้าน นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ศบค.ได้มีการทำแอปพลิเคชั่น ชื่อ "ไทยชนะ" โดยจะทำหน้าที่จัดการดูแลเรื่องมาตรการ 5 ข้อ ของศบค. โดยเริ่มต้นผู้ประกอบการ หรือร้านค้า จะต้องไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ เพื่อให้ได้คิวอาร์โค้ดมาแปะที่หน้าร้าน และเมื่อประชาชนมาใช้บริการ จะต้องสแกนคิวอาร์โค้ด ถือเป็นการเช็กอิน และลงทะเบียนข้อมูลไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยระบบของแอปพลิเคชั่น ประชาชนจะทราบปริมาณความหนาแน่นของผู้ใช้บริการในร้านค้านั้นๆ และสามารถตัดสินใจว่าจะใช้บริการหรือไปร้านอื่น ตลอดจนยังมีบริการอื่นๆที่เกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 ด้วย
“เกาหลีใต้” ขอนักธุรกิจเข้าไทย
ด้าน นายสมคิด จาตุศรีพทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับ นายนายอี อุก-ฮ็อน (Mr. Lee Wook-heon) เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ที่เข้าหารือถึงแนวทางการผ่อนปรนให้นักธุรกิจ และภาคเอกชนของเกาหลีใต้ เดินทางมาเจรจาธุรกิจในไทยได้ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ถึงความเป็นได้ ในการเดินทางเข้ามา ซึ่งจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสาธารณสุข และ ศบค. จะเป็นผู้พิจารณา นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศที่ติดต่อขอให้ไทยผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศด้วย
"อนุทิน" ตรวจห้างก่อนลุ้นเปิด
วันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข พร้อมคณะ ลงพื้นที่บริเวณศูนย์การค้าสยามพารากอน และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กทม. เพื่อตรวจสอบความพร้อมของห้างสรรพสินค้า ก่อนเปิดให้บริการ โดยนายอนุทินระบุว่า ประเทศไทยสามารถคุมการระบาดของโรคได้ เพราะความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายที่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ทั้งนี้ที่ผ่านมา ต้องขออภัยผู้ประกอบการหลายท่าน แต่รัฐจำเป็นต้องยกระดับการควบคุมโรค เพราะต้องคำนึงถึงชีวิตประชาชนเป็นสำคัญ ล่าสุด ศบค.ได้กำหนดมาตรการผ่อนปรน และเริ่มปฏิบัติจริง เพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างใกล้เคียงปกติมากที่สุด สำหรับศูนย์การค้าการจะเปิดได้ คือทางผู้ประกอบการต้องมีความพร้อม ซึ่งได้มอบหมายให้กรมอนามัย ลงไปตรวจสอบและให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการ
“การจะเปิดบริการได้ ผู้ประกอบการ ต้องจัดจุดคัดกรองบริเวณทางเข้า ต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ให้ผู้มาใช้บริการสวมหน้ากาก ต้องจัดจุดล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงนี้ การคัดกรองผู้มาใช้บริการต้องทำอย่างเข้มงวด ตรงนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการต้องใจแข็ง ถ้ามีไข้ ห้ามเข้า ไม่มีหน้ากาก ห้ามเข้า” นายอนุทิน กล่าว
ศบค.เคาะขยับเคอร์ฟิวส์วันนี้
ขณะที่ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยภายหลังร่วมประชุม ศบค. ชุดเล็ก กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อนำมติเสนอที่ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด -19 ) ในครั้งที่ 1/2563 เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) รายงานต่อนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า การประชุมในวันนี้ถือว่าไม่ใช่การประชุมที่เป็นทางการ มีการนำเสนอรายงานผลการประชุมสำหรับทิศทางการคลายล็อกเป็นไปตามที่สื่อมวลชนนำเสนอไปบ้างแล้ว โดยการเปิดห้างสรรพสินค้าอาจมีการปิดบางแผนก แต่ส่วนใหญ่จะเปิดหมดเกือบทุกกิจการภายในห้างสรรพสินค้า เว้นแต่กิจกรรมที่มีความเสี่ยง อย่างโรงภาพยนตร์ คาราโอเกะ ตู้เกมส์ โรงเรียนกวดวิชา ที่ต้องสั่งห้ามเปิดไปก่อน และทางห้างสรรพสินค้าต้องปิดภายในเวลา 21.00 น.
ส่วนกระแสข่าวการประกาศลดเวลาเคอร์ฟิว จากช่วงเวลา 22.00-04.00 น. เป็นเวลา 23.00-04.00 น.นั้น พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการร้องขอของผู้ประกอบการ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ศบค. ซึ่งในวันนี้ (15 พ.ค.) นายกฯจะพิจารณาอีกครั้งในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่
“การปรับเวลาเคอร์ฟิวจะปรับตามกิจกรรมหรือกิจการ ที่คลายล็อกออกมาเป็นตัวตั้ง ซึ่งจะไม่มากไปกว่าเดิม” พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว