xs
xsm
sm
md
lg

ปีศาจธนาธร ที่กำลังหลอกหลอนสังคมไทย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”


การไม่หยุดนิ่งของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และคณะก้าวหน้า” สะท้อนว่า แม้รู้ว่าเขาและพวกจะถูกตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี แต่สำหรับพวกเขาแล้วยังไม่สายเกินไป พวกเขายังมีเวทีและเวลาที่ค่อยๆ เขย่าโครงสร้างของสังคมและการเมืองอยู่นอกสภา

เหมือนกับที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” หยิบยืมคำพูดของ “สาย สีมา” ในนิยาย “ปีศาจ” ของ “เสนีย์ เสาวพงศ์” ในวันที่ถูกศาลตัดสินยุบพรรคว่า

“นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่นี่คือจุดเริ่มต้น เพราะพวกเราเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมา เพื่อหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดละเมอ หวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที”

ธนาธร เป็นตัวแทนของครอบครัวที่อพยพมาจากเมืองจีนและบรรพบุรุษใช้ความวิริยะอดทนก่อร่างสร้างตัวจนเป็นเศรษฐีระดับนำของประเทศ ส่วนปิยบุตร พรรณิการ์ วาณิช เป็นตัวแทนของชนชั้นล่างที่สร้างครอบครัวที่ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการไต่เต้าทางชนชั้น วันนี้ถ้าตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา พวกเขาก็เป็นชนชั้นนำของสังคมแห่งความเหลื่อมล้ำนั่นเอง

จริงๆ แล้วสังคมไทยไม่ได้มีการกีดกั้นทางชนชั้นมานานแล้ว ลูกคนจีนที่ก่อตัวมาด้วยหยาดเหงื่ออย่าง “นายบรรหาร ศิลปะอาชา” สามารถไต่เต้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ หรือลูกแม่ค้าอย่าง “นายชวน หลีกภัย” ก็ไต่เต้าขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เหมือนกัน ลูกคนจีนหลายคนกลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของระบบราชการ ในวงการชั้นสูงนั้นไม่ใช่เป็นเพียงพื้นที่ของผู้มากรากดีแต่ก่อนเก่าเท่านั้น แต่อาตี๋อาหมวยที่มีกำพืดมาจากเมืองจีนก็กลายเป็นชนชั้นสูงจำนวนมาก

ชนชั้นศักดินาของสังคมไทยจึงถูกหลอมรวมกลืนหายไปแล้วด้วยค่าน้ำเงิน เพราะในระนาบเดียวกันของประชาชนในชาตินั้นชนชั้นจึงถูกทลายลงมาเนิ่นนานแล้ว กลายเป็นสังคมใครมือยาวสาวได้สาวเอาไม่แบ่งชนชั้นอีกต่อไป ลูกผู้ดีนามสกุลดังกลายเป็นคนตกยาก เป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำก็มากหลาย เรียกว่าปีศาจแห่งกาลเวลาในยุคสมัยของเสนีย์ เสาวพงศ์นั้นเปลี่ยนข้างเล่นกันไปนานแล้ว

แต่การได้มาถึงระดับชนชั้นนายทุนของธนาธรนั้นไม่เพียงพอ เขามีจุดมุ่งหมายที่ก้าวไกลกว่านั้น มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น

ในการอภิปรายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2561 ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ อาคารเอนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ธนาธร กล่าวถึงคุณูปการของปรีดี พนมยงค์ บนเวทีหัวข้อ “อภิวัฒน์สยาม 2562 ความหวังและอนาคตประเทศไทย” ว่า เป็นหนึ่งในผู้นำการอภิวัฒน์ 2475 เป็นผู้นำเสรีไทย และเป็นผู้ตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอีกหลายเรื่องที่ปรีดีได้ทำ รวมทั้งเป็นผู้วางรากฐานการปรองครองสมัยใหม่ในประเทศไทยไว้

“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปแล้ว และมีความสำคัญอย่างมากคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ ผมอ้างตามคำพูดของอาจารย์ ณัฐพล ใจจริงนะครับว่า 2475 คือสัญญาประชาคมใหม่ ระหว่างกษัตริย์กับประชาชน กษัตริย์มีอำนาจสูงสุด ถ่ายโอนอำนาจสูงสุดนั้นไปสู่พลเมืองโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการรองรับสิทธิและเสรีภาพที่ว่าของประชาชน สัญญาที่ว่านี้หลักใหญ่ใจความคือ กษัตริย์คืนอำนาจให้กับประชาชน แต่ผ่านมา 86 ปี เรารู้กันว่าจนถึงปัจจุบันประชาชนก็ยังไม่ได้รับ ผมคิดว่านี้คือเรื่องสำคัญที่เราต้องพูดให้ชัดว่าหลักการ ความเป็นพลเมืองในประเทศไทยยังไม่ได้ถูกสถาปนา หลักการที่เป็นเสาค้ำยันการอภิวัฒน์ 2475 อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลายยังไม่ได้ถูกสถาปนาให้หยั่งรากลึกลงในสังคมไทย”

ธนาธร กล่าวต่อว่า สถานะพลเมืองที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติ 2475 คือการยึดหลักเสรีภาพ และความเสมอภาค ให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นการยกสถานะตัวเองจากผู้ที่ถูกปกครองเป็นสู่การเป็นเจ้าของประเทศที่มีสิทธิและอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมในการกำหนดอนาคตของประเทศร่วมกัน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังไม่มีในสังคมไทย

“การเลือกตั้งครั้งนี้ หากมีจริงในปี 2562 จำเป็นจะต้องนำภาระกิจของการปฏิวัติ 2475 ที่ทำไม่เสร็จมาทำให้เสร็จ ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้พูดด้วยโอหัง หรือทนงตน แต่พูดด้วยความเข้าใจถึงสภาพการในปัจจุบันที่ไร้สิทธิ ไร้เสรี และไร้เสรีภาพ พูดด้วยความเข้าใจดีว่าสังคมไทยไม่มีความหวัง และต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากการเลือกตั้ง 2562 มีจริง ธงที่สำคัญที่สุดของการเลือกตั้งครั้งหน้า คือการเอาหลักหมุดหมายของการอภิวัฒน์ 2475 เอาจิตวิญญาณของการปฏิวัติ 2475 กลับคืนสู่สังคมไทยอีกครั้ง นั่นคือ อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”

การประกาศนำภาระกิจของการปฏิวัติ 2475 ที่ทำไม่เสร็จมาทำให้เสร็จของธนาธรถูกตั้งคำถามว่า ภารกิจที่ทำไม่สำเร็จคืออะไร แต่เมื่อเราย้อนไปฟังที่เขาพูดบนเวทีเขาพูดว่า “2475 คือสัญญาประชาคมใหม่ ระหว่างกษัตริย์กับประชาชน กษัตริย์มีอำนาจสูงสุด ถ่ายโอนอำนาจสูงสุดนั้นไปสู่พลเมืองโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการรองรับสิทธิและเสรีภาพที่ว่าของประชาชน สัญญาที่ว่านี้หลักใหญ่ใจความคือ กษัตริย์คืนอำนาจให้กับประชาชน แต่ผ่านมา 86 ปี เรารู้กันว่าจนถึงปัจจุบันประชาชนก็ยังไม่ได้รับ”

ซึ่งถ้าใครเข้าใจและสนใจการเมืองพอผิวเผินก็น่าจะรู้ว่าธนาธรหมายถึงอะไร

2475 เราเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ระบุว่า อำนาจของกษัตริย์ คือ เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ ซึ่งการตราพระราชบัญญัติ และการวินิจฉัยคดีของศาล จะกระทำในนามของกษัตริย์. แต่ถ้ากษัตริย์ไม่สามารถจะทำหน้าที่ได้ หรือ ไม่อยู่ในพระนคร ให้เป็นอำนาจของ คณะกรรมการราษฎร ที่จะทำหน้าที่แทน. การกระทำใดๆของกษัตริย์ ต้องได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎร และมีกรรมการราษฎร ผู้หนึ่งผู้ใด ลงนามด้วย

และตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกเรามีบทบัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ นั่นคือพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง

แล้วคำพูดที่บอกว่าจะสืบทอดเจตนารมย์2475ของคณะราษฎรของธนาธรหมายถึงอะไร

คำพูดนี้กลับมาทิ่มแทงธนาธร จนกระทั่งธนาธรไปขึ้นเวทีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในวันที่ 24 มิถุนายน 2562 เขาขยายความว่า “อยากจะเชิญชวนให้ทุกคนกลับมาให้ความสำคัญกับวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเมื่อพูดอย่างนี้ ผมเองก็จะโดนคำกล่าวหา โดนใส่ร้ายป้ายสี เรื่องการสานต่อภารกิจที่ยังไม่สำเร็จของคณะราษฎร ขอยืนยันอีกครั้งว่า ภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จในวันนี้ และเราพรรคอนาคตใหม่จะสานต่อนั่นคือ การสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ภารกิจ 2475 ไม่ใช่ล้มล้างสถาบันอย่างที่เราถูกใส่ร้าย เราเชื่อมั่นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะมั่นคงสถาพร เมื่อประชาธิปไตยเข้มแข็ง วันนี้เรายังมีความหวังในการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น”

แต่ในวันนั้นธนาธรพูดด้วยว่า ตลอด 87 ปีที่ผ่านมาการสถาปนาอำนาจของพลเมืองยังไม่จบ ยังมีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่มีเสียงเหนือกว่าพลเมืองคนอื่น ยังมีเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพที่ถูกคุกคาม ถูกละเมิดนี่คือผลจากการที่เราไม่ช่วยกันปกป้องการอภิวัฒน์ 2475

ธนาธรประกาศชัดว่า ไม่ได้หมายถึงการล้มล้างสถาบัน เราจะต้องเชื่อคำพูดของเขาแม้ว่า เขาจะพูดในวันที่เป็นนักการเมือง “กลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่มีเสียงเหนือกว่าพลเมืองคนอื่น” นั้นเป็นใคร

ถ้าเขาหมายถึงกลุ่มอำนาจทางการเมืองตอนนี้ หรือกลุ่มที่มีอำนาจทางการเมืองที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่า เรามีรูปแบบประชาธิปไตยที่มีการแข่งขันและปล่อยให้แต่ละฝ่ายช่วงชิงอำนาจเปลี่ยนมือกันมาโดยตลอด ยกเว้นช่วงที่นักการเมืองสร้างวงจรอุบาทว์ขึ้นมาให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ แต่ไม่มีอำนาจทหารคนไหนที่ยั่งยืนสุดท้ายก็ต้องคืนอำนาจกลับมาให้ประชาชนอันเป็นเจตนารมณ์ของ 2475 นั่นเอง

แต่ถามว่า ความบกพร่องและจุดอ่อนที่ทำให้เขาหยิบมาเคลื่อนไหวและขยายกระพือในหมู่คนรุ่นใหม่สำหรับโครงสร้างของสังคมไทยนั้นมีไหม เราก็ต้องยอมรับว่า มีจุดอ่อนไม่น้อย ดังนั้นเป้าหมายและความใฝ่ฝันของธนาธรและพวกจะสูญหายไปไหมในวันที่เขาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปีที่จะผ่านไปอาจจะยิ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับความพวกเขาถ้าเราจะไม่สามารถหาจุดแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พบ

สำหรับคนหนุ่มสาววัยก่อนเลือกตั้งไปจนถึง 30-40 ปีที่คลั่งไคล้ธนาธรอาจจะมีคนที่เรียนรู้2475จริงจัง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเข้าใจเหมือนคนรุ่นพ่อแม่ของเขาที่มีภาพจำที่งดงามของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

แน่นอนคนหนุ่มสาวทุกวันนี้กลายเป็นแนวร่วมของธนาธรและมีความชื่อว่าธนาธรคือตัวแทนของเขาในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย และนับวันจะเพิ่มขึ้น คนรุ่นเราหรือเลยไปกว่านั้นมีแต่วันที่จะโรยราลง ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำสงครามความคิดกับพวกเขาในวันนี้และเอาแต่จะหมิ่นแคลนพวกเขาอย่างเดียว ต้องรู้ว่า “เวลา”เป็นของพวกเขาไม่ใช่พวกเรา

วันนี้ธนาธรและพวกคงจะนึกถึงคำพูดของสาย สีมา ต่อหน้าสมาคมคนชั้นสูงที่กำลังเย้ยหยันตัวเขา “ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนวันนี้ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้ แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ … ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป”

เรามีกำลังปัญญาและเวลามากพอที่จะรับมือกับปีศาจตัวนี้ไหม


ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan

กำลังโหลดความคิดเห็น