ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดรามา “ป้าทองสา” ร้องห่มร้องไห้มาขอทบทวนสิทธิรับ 5,000 บาท เป็นผู้เดือดร้อนจริง หรือขาประจำมาป่วน !!
จากการที่กระทรวงการคลัง ตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนสำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองเพื่อรับเงินเยียวยา 5,000บาท ที่บริเวณกรมประชาสัมพันธ์ ข้างกระทรวงการคลัง ปรากฏว่า ในแต่ละวันมีผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน มาเข้าแถวรอร้องเรียนกันเป็นจำนวนมาก และก็มักจะมีเหตุการณ์ “ดรามา” ทั้งจากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ และบรรดาขาประจำที่มาโวยวายหวังผลทางการเมือง ดิสเครดิตรัฐบาล...
อย่างเช่นกรณี เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ “นายเอกชัย หงส์กังวาล” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง “ขาประจำ” ไปชูป้าย “เปิดเมืองเถอะ จะอดตายแล้ว” จนมีการปะทะคารมกับ “นายธนกร วังบุญคงชนะ” เลขาฯ รมว.คลัง นักข่าวและประชาชนที่มาร้องเรียนแห่เข้ามามุง
ระหว่างนั้น ที่ใกล้ๆ กันก็มี “คุณป้า” คนหนึ่ง บอกเป็นชาวกำแพงเพชร ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าจะอดตายอยู่แล้ว ข้าวสารก็จะหมดแล้ว เงินก็ไม่มี ขายของก็ไม่ได้ ... นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ออกมาร้องเรียน ไม่เคยไปประท้วงที่ไหน ตอนนี้จะอดตายเลยต้องมา โปรดดูแลคนยากจนบ้าง อย่าไปดูแลแต่คนรวย ...เมื่อผู้สื่อข่าวหันมาให้ความสนใจ “คุณป้า” ก็เลยถือโอกาสฝากข่าวร้องเรียนไปถึงนายกฯ
“ท่านนายกฯ ท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านดูโทรทัศน์หรือเปล่าคะ โปรดทราบนะคะ นางทองสา ดาหา มาร้องเรียน ท่านไปดูแล ไปดูบ้านฉันว่าอยู่กันยังไง บ้านช่องเท่ารูหนู ข้าวก็ไม่มีจะกิน หลานตัวเล็กๆ ไม่สบาย ต้องให้เลือด ยังไปหาหมอไม่ได้เลย ท่านโปรดทราบตรงนี้”
เมื่อภาพ “ป้าทองสา” ปรากฏเป็นข่าว มีการแชร์ในโซเชียล ก็เกิดดรามาขึ้นมาทันที บ้างก็ว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจริง ...บ้างก็ว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกับพวก “ขาประจำ” เพราะจังหวะนั้นไปอยู่ใกล้ๆ กับ “เอกชัย หงส์กังวาล” น่าจะเป็นพวกรับจ้างมาป่วน !!
ทางจังหวัดกำแพงเพชรก็อยู่เฉยไม่ได้ เพราะ “ป้าทองสา” บอกว่าเป็นคนกำแพงเพชร เมื่อตรวจสอบก็พบว่า “ป้าทองสา” มีทะเบียนบ้านอยูที่ หมู่ 13 บ้านหนองนกชุมใต้ ต.ทุ่งทราย อ.ทรายทอง จ.กำแพงเพชร โดย “นายศรุต ประชุมรักษ์” ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 13 บ้านหนองนกชุมใต้ บอกว่า ครอบครัว “ป้าทองสา” ไปอยู่กรุงเทพฯ เกือบ 10 ปีแล้ว มีลูกทั้งหมด 4 คน ลูกสาวคนโตมีสามีเป็นชาวต่างชาติ, ลูกชายคนรองทำงานบริษัทที่กรุงเทพฯ แต่หยุดงาน 2 เดือน ได้สิทธิประกันตน (ประกันสังคม), ลูกชายอีกคนเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ และลูกสาวคนสุดท้อง เป็นนักศึกษาฝึกงาน ในกรุงเทพฯ
ที่ว่า “ป้าทองสา” เป็นหนี้ ธ.ก.ส.นั้น ตรวจพบว่า เป็นเพียงลูกค้าที่เปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส.เท่านั้น ไม่มีหนี้สินกับทางธนาคาร ส่วนบ้านที่ จ.กำแพงเพชร นั้น เป็นบ้านที่ลูกสาวคนโตได้สร้างไว้ “ป้าทองสา” ส่วนใหญ่จะอยู่กรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลจะกลับมาเพียงปีละครั้งเท่านั้น อยู่กรุงเทพฯก็มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และเลี้ยงหลานอยู่บ้าน ส่วนสามีขายลูกชิ้นอยู่ย่านบางพลัด
ขณะที่ “นางสุภาภรณ์ จุลละสุภา” คลังจังหวัดกำแพงเพชร ก็ตรวจสอบเรื่องการขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท พบว่า “ป้าทองสา” ได้ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาจริง แต่ต่อมาได้มีการกดยกเลิกไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 63 จึงทำให้ไม่ได้รับสิทธิเยียวยา และอาจไม่ทราบข้อมูลมาก่อนว่า ทางกระทรวงการคลัง เปิดให้มีการทวนสิทธิ์การเยียวยา รอบที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ทางคลังจังหวัดกำแพงเพชร, นายอำเภอทรายทองวัฒนา และผู้ใหญ่บ้าน จึงได้โทรศัพท์พูดคุยกับ “ป้าทองสา” เพื่อสอบถามข้อมูลและอธิบายขั้นตอนการรับเงินเยียวยา พร้อมได้ทำการช่วยเหลือยืนยัน การขอทบทวนสิทธิ์ให้กับ “ป้าทองสา” อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป็นอันว่าดรามาเรื่อง “ป้าทองสา” ก็จบลงด้วยดี ตอนนี้ก็รอเพียงแค่เงิน 5,000 บาท เข้าบัญชีเท่านั้น !!
** เมื่อ “ธนาธร” ยุ คนพลาดเงินเยียวยาแปร “ความเศร้า” เป็น “ความแค้น” เจตนาเปลี่ยนประเทศไทยให้ดีกว่าเดิมจริงหรือ?
แคมเปญจบ แต่ดรามายังไม่จบ สำหรับคอนเสิร์ตระดมทุน “MAYDAY MAYDAY เราช่วยกัน” ของ “คณะก้าวหน้า” นำโดย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เพื่อหาเงินบริจาคไปแจกให้ผู้เดือดร้อนจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 คนละ “3,000 บาท” โดยไม่ต้อง “พิสูจน์ความจน”...แต่ต้องขอผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คณะก้าวหน้า-Progressive Movement” แถมต้องใส่รหัส 24 หรือ 75 ล้อกับปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เข้าไปด้วย จึงจะมีสิทธิได้รับเงิน
แคมเปญนี้ จัดขึ้นในวันที่ 1 และ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา ระดมเงินได้ทั้งสิ้น 7,282,897.34 บาท แจกได้ 2,427 คน ขาดไปนิดหน่อยก็จะถึง 2475 คน ขณะที่มีผู้ขอรับเงินหลักล้านคน
หลังจบงาน “ธนาธร” ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ขอโทษขอโพยที่ไม่สามารถช่วยได้มากกว่านี้ พร้อมโบ้ยสาเหตุเพราะพวกตนไม่ได้เป็นรัฐบาล และอ้างว่า ตนเองสื่อสารไม่ดีเอง ทำให้คนคิดว่าจะแจกแบบไม่อั้น จึงมีคนมาขอรับเงินนับล้านคน
แต่ผลพลอยได้ที่ “ธนาธร” ไม่เอามาพูด ก็คือ แคมเปญนี้ทำให้ยอดไลก์ของเพจ “คณะก้าวหน้า” พุ่งกระฉูดจาก 80,000 เป็น 2.2 ล้านคนในชั่วข้ามคืน และมีคนคอมเมนต์ขอเงิน 3 พันบาท ถึง 3.5 ล้านครั้ง
จะว่าไปการระดมทุนหาเงินไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนในยามวิกฤตแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่แคมเปญของ “คณะก้าวหน้า” ที่นำโดย “ธนาธร” กลับกลายเป็นดรามาขึ้นมา ก็เพราะมีความพยายามยัดเยียดเกมการเมืองเข้าไปนั่นเอง
แคมเปญนี้ ถึงคณะของ “ธนาธร” จะอ้างว่า มีเจตนาบริสุทธิ์ใจที่จะช่วยประชาชนที่เดือดร้อนจริงๆ แต่คนทั่วไปเขา “ดูออกแหละ” ว่าเป็นแคมเปญที่ออกมาเพื่อเกทับบลัฟแหลกโครงการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ของรัฐบาล “ลุงตู่” นั่นเอง
หลังจากเห็นปัญหาความวุ่นวายของการลงทะเบียนรับเงินเยียวยาผ่านเว็บ “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งมีคนที่ไม่ผ่านจำนวนมาก และมีทั้งคนที่เดือดร้อนจริงๆ ไม่ได้รับ คนที่ได้รับไม่ใช่คนที่เดือดร้อน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของโครงการเร่งด่วน และต้องรับผิดชอบคนทั่วประเทศหลายล้านคน
แต่คณะของ “ธนาธร” เห็นเป็นโอกาสที่จะตีกินทางการเมืองได้
ถ้าจำไม่ผิด วันที่ 15 เมษายน ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” โฆษกพรรคก้าวไกล ซึ่งก็คือกลุ่มการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ายื่นหนังสือถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก “กระบวนการพิสูจน์ความทุกข์ของประชาชน” และยกเลิกเกณฑ์อาชีพที่จะได้รับการช่วยเหลือ พร้อมให้จ่ายเงินเยียวยา รายละ 5,000 บาท ให้แรงงาน 14.5 ล้านคนโดยเร็ว
เมื่อรัฐบาล “ลุงตู่” เมินเฉยต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว จึงเป็นที่มาของแคมเปญ แจกเงิน 3,000 บาท โดยไม่ต้อง “พิสูจน์ความจน” โดยคณะของ “ธนาธร” นั่นเอง
แคมเปญนี้ คณะของ “ธนาธร” ได้รับดอกไม้ หรือก้อนอิฐ เราๆ ท่านๆ ก็ทราบกันดีอยู่แล้ว!!
แต่สิ่งสะท้อนออกมาก็คือว่า วิธีเล่นการเมืองของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และเพื่อนซี้ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” รวมถึง “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช ที่ใช้วิธี “เกทับบลัฟแหลก” ฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ดูว่าตนเอง “เหนือกว่า” แต่แล้วตัวเองก็ทำไม่ได้จริงนั้น มีแต่จะทำให้คนเขาเสื่อมศรัทธาลง
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก... “ธนาธร” ทำแบบนี้มาหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งบอกว่าจะทำโครงการ “ไฮเปอร์ลูป” เพื่อเอามาเกทับโครงการรถไฟความเร็วสูง ที่รัฐบาลลุงตู่กำลังทำอยู่ แต่สุดท้ายก็มีแค่ผลการศึกษา เพราะทั้งโลกยังไม่มีประเทศไหนที่ทำได้จริง
หรือกรณีการประกาศว่าจะทำ Blind Trust โอนทรัพย์สินส่วนตัวที่มีอยู่รวม 5 พันล้านบาท ไปให้บริษัทจัดการหลักทรัพย์ดูแล ออกแถลงข่าวใหญ่โตช่วงไม่กี่วันก่อนเลือกตั้ง อวดอ้างว่า ตนเองเป็นนักการเมืองคนแรกที่ทำแบบนี้ ซึ่งก็โดนสวนกลับว่าไม่จริง เพราะมีนักการเมืองหลายคนทำมาแล้ว และในที่สุดความก็แตกว่า “ธนาธร” ไม่ได้ทำ Blind Trust เมื่อตอน ป.ป.ช.เปิดเผยรายการทรัพย์สิน โดยมี “ปิยบุตร” ออกมาแก้ตัวให้ว่า ที่ไม่ได้ทำ เพราะถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.
อันที่จริงแล้ว แนวนโยบายทางการเมืองคณะของ “ธนาธร” ตั้งแต่ยังเป็น “พรรคอนาคตใหม่” จนเปลี่ยนมาเป็น “พรรคก้าวไกล” มีหลายเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดี และเป็นที่ถูกอกถูกใจชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นรากหญ้า อาทิ การปฏิรูปกองทัพ การกระจายอำนาจ การขจัดทุนผูกขาด ให้ทุกคนมีโอกาสทำมาหากินอย่างเท่าเทียม
แต่เมื่อดูวิธีการที่จะให้ตัวเองได้อำนาจทางการเมืองแล้ว ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คณะของ “ธนาธร” ต้องการเปลี่ยนประเทศไทยไปในทิศทางที่ดี ด้วยความจริงใจหรือไม่
มันตะหงิดๆ ในใจว่า คลับคล้ายคลับคลากับ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เอานโยบายประชานิยมมาหว่าน จนครองใจคนรากหญ้า แต่พอมีอำนาจแล้วก็หาผลประโยชน์ สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองเป็นหมื่นๆ ล้าน
ยิ่งเมื่อเห็นคำลงท้ายที่ “ธนาธร” โพสต์ในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ปลุกให้คนที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา “เปลี่ยนเอาความเศร้าโศกเสียใจมาเป็นความคับแค้น” ก็ยิ่งน่าสงสัยในเจตนา !!
ก็ไม่รู้ว่า “ธนาธร” นับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า เคยได้ยินพระท่านว่าไหม “ความโกรธแค้นไม่เคยก่อประโยชน์แก่ผู้ใด” ยิ่งความแค้นเข้ามาครอบคลุมจิตใจ ยิ่งทำให้จมอยู่กับความทุกข์ ทำให้คนที่มีความแค้นเกิดอาการเก็บกด และรู้สึกเสียเปรียบ
ในทางพระ ท่านไม่เคยบอกว่าความแค้นเป็นสิ่งที่ดี หรือสนับสนุนให้คนเกิดความแค้น ก็มีแต่ในทางการเมืองเท่านั้นที่เอาความแค้นมาใช้ประโยชน์ปลุกระดมให้คนออกมาห้ำหั่นกัน เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
คำถามก็ตามมาอีกว่า ถ้า “ธนาธร” ต้องการเปลี่ยนประเทศไทยไปในทิศทางที่ดีอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ ทำไมถึงยุให้คนเกิดความแค้น หรือว่า มีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง !!