xs
xsm
sm
md
lg

ห้วง 9 เดือน! ป.ป.ส.นำผู้เสพเข้ารับการบำบัดกว่า 1.4 แสนราย มอบโอกาสกลับตัวสู่ครอบครัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม




MGR Online - “เลขาธิการ ป.ป.ส.” สรุปผลงานด้านการบำบัดยาเสพติด รอบ 9 เดือน นำผู้เสพ 147,377 คน รับการรักษาพร้อมติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด หวังปรับตัวให้โอกาสการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ขอความร่วมมือบุคคลใกล้ชิดและสังคมเข้าใจ


วันนี้ (21 เม.ย.) นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า รายงานผลการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษายาเสพติด ในห้วงระยะ 9 เดือน ช่วงเดือน ก.ค. 62 - มี.ค. 63 ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 62 โดยได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วน สำหรับด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพผู้ติดยาเสพติด เน้นให้การบำบัดที่เหมาะสมตามสภาพการเสพติดและการติดตามดูแลช่วยเหลือหลังผ่านการบำบัดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเร่งรัดการค้นหาและนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้นำนโยบายสู่การปฏิบัติดังนี้ 1. การเพิ่มศักยภาพของสถานบริการรองรับผู้เข้ารับการบำบัดรักษาให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ ปัจจุบันมีสถานบำบัดและสถานที่ฟื้นฟูผู้เสพผู้ติดรวม 11,116 แห่ง โดยแบ่งเป็นสถานบำบัดในระบบสมัครใจ 11,514 แห่ง ระบบบังคับบำบัด 71 แห่ง และระบบต้องโทษ 171 แห่ง ทั้งนี้เร่งการพัฒนาระบบการบำบัดในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรับผู้ป่วยยาเสพติดมากขึ้น ปัจจุบันมีจำนวน รพ.สต.9,763 แห่ง นอกจากนี้ยังมีการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง หรือ CBTx เป็นแนวคิดการใช้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติด ตั้งแต่กระบวนการค้นหา ชักชวน ดูแลฟื้นฟูช่วยเหลือ และส่งต่อผู้ผ่านการบำบัดกลับคืนสู่สังคม ซึ่งปัจจุบันมีสถานที่ฟื้นฟูในชุมชนที่มีความพร้อม 720 แห่ง ใน 77 จังหวัด


นายนิยมกล่าวอีกว่า 2. การนำผู้เสพเข้ารับการบำบัดยาเสพติดในทุกระบบ (สมัครใจ บังคับบำบัด และต้องโทษ) 147,377 คน ให้บริการเพื่อลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm Reduction) ในกรณีที่ยังไม่สามารถหยุดเสพได้อย่างเด็ดขาด 28,978 คน และมีผู้เข้ารับการบำบัดในรูปแบบ CBTx 1,338 คน โดยในจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดทั้งหมดนี้มีอาการทางจิตเวช 6,198 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเสพยาเสพติดเป็นเวลานานจนเกิดอาการทางจิตร่วมด้วย ได้แก่ หูแว่ว หวาดระแวง บ่น/พูดคนเดียว เห็นภาพหลอน เป็นต้น จังหวัดที่มีผู้เข้ารับการบำบัดมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ อุบลราชธานี นครราชสีมา และสงขลา ยังคงเป็นผู้ป่วยประเภทยาบ้าที่เข้าบำบัดมากที่สุด ร้อยละ 78.9 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-29 ปี เป็นผู้ใช้แรงงานและรับจ้าง ทั้งนี้จะต้องไม่หวนกลับไปเสพยาเสพติดซ้ำ โดยจากจำนวนผู้เข้าบำบัด 147,377 คน มีกลับไปบำบัดซ้ำ 9,142 คน คิดเป็นร้อยละ 6.20


นายนิยมกล่าวต่อว่า 3. การติดตามช่วยเหลือให้โอกาสหลังจากผู้ป่วยบำบัดฟื้นฟูครบโปรแกรมตามที่แพทย์กำหนดแล้ว จะได้รับการติดตามดูแลทางการแพทย์และทางสังคม เป็นระยะเวลา 1 ปี สามารถติดตามได้ 162,276 คน และให้การช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดฯ ที่ประสงค์ขอรับการช่วยเหลือ 1,012 คน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผ่านการบำบัดสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 4. การให้โอกาสในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการกระทำผิดซ้ำ จุดมุ่งหมายเพื่อให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมเพื่อปรับพฤติกรรมในช่วงวิกฤตแก่ผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติดและคดีความรุนแรงในครอบครัวที่มีโทษไม่ร้ายแรงและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ได้มีโอกาสเลือกแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้การกระทำผิดซ้ำลดลง โดยกำหนดขยายการดำเนินงานคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล จำนวน 75 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) โดยในปี 2557-2562 ดำเนินการใน 5 ศาล ได้แก่ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัดนนทบุรี ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ศาลอาญาตลิ่งชัน และศาลจังหวัดปทุมธานี รวมให้คำปรึกษาไปแล้ว 14,597 คน มีผู้ไปกระทำผิดซ้ำ 197 คน (ข้อมูลเฉพาะพื้นที่) คิดเป็นร้อยละ 1.34


“การเสพติดยาเสพติดจนเป็นโรคสมองติดยา สามารถรักษาต่อเนื่องให้หายได้ ทั้งนี้ต้องให้โอกาส ช่วยกันติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปเสพซ้ำ แม้ว่าจะสามารถนำผู้เสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดได้จำนวนมาก แต่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ ประการสำคัญหากปล่อยให้ผู้ติดยาเสพติดเสพยาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยที่ไม่เข้ารับการบำบัดรักษาก็จะมีผลให้เกิดอาการทางจิตตามมาอย่างแน่นอน นอกจากนี้ การบำบัดรักษาที่จะได้ผลจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากตัวผู้ติดยาเสพติด บุคคลในครอบครัวที่ใกล้ชิด ชุมชน และสังคมที่จะต้องมีความเข้าใจ ติดตามดูแลช่วยเหลือ และให้โอกาสเพื่อให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นงานที่มีความยากและเป็นภาระที่หนักหน่วงของบุคลากรทางการแพทย์รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ดังนั้นมาตรการที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหายาเสพติด คือ การป้องกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งต้องอาศัยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้เอาใจใส่ดูแลบุตรหลานให้ความรัก ความอบอุ่นและความเข้าใจตามช่วงวัย ก็จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดได้อย่างดี หากประชาชนพบเห็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แจ้งเบาะแสยาเสพติดได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. โทร.1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น