สำหรับผมแล้วเดือนเมษายนปีนี้เป็นเวลาที่ยาวนานมาก เวลาแต่ละวันผ่านไปด้วยความเนิบนาบเอื่อยเฉื่อยเหมือนเข็มนาฬิกาไม่อยากจะเดินไปข้างหน้า
ตอนนี้ใครต่อใครก็เริ่มเบื่อกับการเก็บตัวอยู่ที่บ้านตามนโยบายของรัฐบาล เพราะเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม แต่ถ้ายังพอมีสตินึกถึงส่วนรวมและผลที่จะตามมา ผมเชื่อว่าหลายคนจำใจที่จะต้องช่วยกันอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติต่อไป
ต้องยอมรับว่ามาตรการของรัฐบาลแม้จะขัดใจใครหลายคน แต่เมื่อบวกกับความสามารถด้านสาธารณสุขของบุคลากรทางการแพทย์ของเรา ชัดเจนว่า พิจารณาจากตัวเลขที่เริ่มลดลงตามลำดับต้องนับว่า เรารับมือกับไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19ได้ดี เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศทั่วโลก
เรียกได้ว่าอดทนกันอีกหน่อย แล้วเสรีภาพปราศจากเชื้อโรคจะกลับคืนมาในไม่ช้า
ตอนนี้บุคคล องค์กร และรัฐบาลต่างๆ หลายประเทศกำลังชื่นชมกับมาตรการรับมือของไทย เรากำลังดำเนินการไปด้วยดี ผมคิดว่าเราเพียงแต่ต้องอดทน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าการผ่อนคลายมาตรการลงไป ซึ่งมีตัวอย่างของความผิดพลาดให้เห็นแล้วในหลายประเทศ
นั่นคือจนถึงตอนนี้เรายังการ์ดไม่ตก แม้จะพลาดไปจนเกิด super spreader ที่สนามมวยในช่วงแรกจนบานปลายไปทั่วประเทศ
แต่แปลกมากเท่าที่ผมติดตามในเฟซบุ๊กฝ่ายที่อ้างประชาธิปไตย หลายคนออกมาโจมตีมาตรการของรัฐในเรื่องการกักตัว และมาตรการต่างๆ ที่แต่ละจังหวัดดำเนินการ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผ่อนคลายมาตรการมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ
จนกระทั่งบางคนพยายามโยงเรื่องการประกาศ พ.ร.บ.ฉุกเฉินเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย เพื่อสะท้อนว่ารัฐบาลกำลังมีพฤติกรรมเป็นเผด็จการอย่างไม่จำแนกเหตุผลและความจำเป็นตามสถานการณ์ รวมถึงพยายามสร้างกระแสว่ามีคนผูกคอตายหลายคนจากมาตรการของรัฐบาล
สอดรับกับพรรคเพื่อไทยที่ดาหน้าออกมาเรียกร้องให้เปิดช่องผ่อนคลายมาตรการทางเศรษฐกิจโดยเร็ว
แม้จะรู้ว่ามาตรการของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และทำความเดือดร้อนต่อคนจำนวนมากที่ไม่มีงานทำและไม่มีรายได้ ผมคิดว่าเราอาจจะต้องอดทนกันอีกนิด แต่รัฐบาลก็ควรจะต้องหามาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของรัฐได้อย่างทั่วถึง เพราะถ้าเราเรียกร้องมาตรการผ่อนปรน แล้วเชื้อโรคกลับมาลุกลามมันจะยิ่งส่งผลเสียยิ่งกว่าเก่า และอาจกระทบต่อวิถีชีวิตและการทำงานหารายได้ของเราหนักกว่าเดิม และจะต้องใช้เวลาแก้ไขปัญหากินเวลายาวนานกว่าที่เราต้องอดทนกักตัวกันในช่วงนี้
ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ที่ว่า “ขอเสนอ ปิดเมืองปิดบ้านเคร่งครัดต่อไป จนไม่มีเคสใหม่เฉพาะคนในประเทศ 2 อาทิตย์ติดกัน ซึ่งในช่วง 2 อาทิตย์นั้นต้องไม่รับคนจากต่างประเทศเลย แล้วจึงเปิดกิจกรรมธุรกิจในประเทศปกติ เพราะแสดงว่ามันไม่มีเจ้าไวรัสเหลือในประเทศเราแล้ว แต่ที่สำคัญใครมาจากต่างประเทศ “ต้อง” quarantine 14 วันไม่มียกเว้น แบบนี้ก็ไม่ต้องเปิดแบบค่อยๆ เปิดได้”
เรียกว่า เราทำมาได้ด้วยดีแล้ว อย่าปล่อยให้ดีแตกเปิดช่องให้เจ้าไวรัสกลับมาโจมตีอีก ที่สำคัญเราดูได้จากบทเรียนของสิงคโปร์ที่ตอนนี้กำลังหยุดไม่อยู่ และทยานขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนจนมีผู้ป่วยเหยียบหมื่นคนแล้ว หลังจากสัปดาห์แรกควบคุมได้ดีจนได้รับคำชื่นชมมากมาย นั่นเป็นผลมาจากการ “การ์ดตก” นั่นเอง
สำหรับไทยเราตอนนี้หลายจังหวัดที่เคยมีผู้ติดเชื้อก็เริ่มไม่พบผู้ติดเชื้อยาวนานเกิน 14 วันซึ่งเป็นระยะแพร่เชื้อแล้ว และมีแนวโน้มว่าอีกหลายจังหวัดก็เช่นเดียวกัน บางจังหวัดที่เคยมีผู้ป่วยก็รักษาหายหมดแล้ว เรียกได้ว่า เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศได้ดี ตอนนี้ที่น่าห่วงก็มีแต่ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งเราต้องใช้มาตรการกักตัวอย่างเคร่งครัดต่อไป
แน่นอนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจส่งผลเสียต่อชีวิตของเราของเพื่อนร่วมชาติที่ขัดสน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว แต่ผมเชื่อว่าชีวิตของคนสำคัญมากกว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ
แน่นอนฝ่ายอ้างประชาธิปไตย เขาอาจเห็นความสำคัญของเศรษฐกิจมากกว่าชีวิตของคน เหมือนที่เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา เจ้าลัทธิทุนนิยมเสรีนิยมที่ใหญ่ที่สุด ที่มีประชาชนจำนวนมากออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนคลายเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งที่มียอดผู้ติดเชื้อที่สูงหลายแสนคนมากที่สุดในโลก และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจนโลงศพไม่พอต้องใช้โลงกระดาษแล้วขุดหลุมฝังรวมกัน
เราจะเห็นภาพชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาชุมนุมโดยไม่สนการติดเชื้อ และส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากากอนามัย ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ออกมาให้ท้ายอีกด้วย เรียกว่าคนจะตายช่างมันคนที่อดทนและเข้มแข็งจะมีชีวิตรอดได้คนอ่อนแอก็ตายไป แต่เศรษฐกิจและทุนนิยมจะต้องเดินหน้าต่อไป
หรือว่านี่เป็นแบบฉบับของฝ่ายประชาธิปไตยและเสรีนิยมที่เสรีภาพต้องมาก่อนสุขภาพ เชื้อโรคต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองโลก
ผมไม่อยากคิดแบบที่ฝ่ายตรงข้ามในบ้านเราออกมาโจมตีฝ่ายอ้างประชาธิปไตยว่า พวกนี้ทนไม่ได้ที่อำนาจแบบเบ็ดเสร็จที่รัฐบาลสถาปนาขึ้นด้วย พ.ร.บ.ฉุกเฉินนั้นกำลังทำให้รัฐบาลประสบความสำเร็จในการรับมือกับไวรัส และจะส่งผลให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
ผมไม่อยากคิดแบบนั้น เพราะผมเชื่อว่าฝ่ายอ้างประชาธิปไตยของบ้านเราคงไม่มีความคิดใจร้ายไส้ระกำที่จะเห็นความล่มสลายของการรับมือกับเชื้อโรค ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะสังคมไทยเป็นสังคมของความเมตตาอารีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้ความล้มเหลวของรัฐบาลจะเป็นเหยื่ออันโอชะทางการเมืองก็ตาม
เรายังมีเวลาจะโต้เถียงและขัดแย้งทางการเมืองซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยอีกนาน แต่ตอนนี้เราต้องถือว่าเรามีศัตรูร่วมกัน แม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันก็ตาม วันนี้จึงต้องจับมือกันเพื่อต่อสู้กับศัตรูร่วมของคนในชาติเสียก่อน
หลังจากเรากลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติในฐานะผู้ชนะร่วมกันแล้ว เราค่อยกลับมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ออกมาช่วยกันชำแหละรัฐธรรมนูญซึ่งผมเองก็ยอมรับว่ามันเป็นต้นเหตุของปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น เรียกว่าหลังจากนั้นจะชุมนุมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพหรือประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ทำไป
แน่นอนสำหรับคนที่บูชาเสรีนิยมสิทธิเสรีภาพการสร้างข้อจำกัดโดยรัฐเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้เรียกร้อง บางคนถึงสละชีวิตเพื่อให้ได้มา แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่ เป็นเพียงการสร้างข้อจำกัดโดยรัฐเพื่อปกป้องชีวิตของมนุษย์จากเชื้อโรค ดังนั้นไม่จำเป็นต้องประกาศตนว่า การเผชิญกับเชื้อโรคเป็นเสรีภาพ ดังนั้นรัฐบาลต้องเอาวิถีชีวิตปกติกลับคืนมา
อดทนมองความสำเร็จของรัฐบาลในการรับมือกับไวรัสโคโรนาอีกหน่อยเถอะครับ สถานการณ์กำลังไปด้วยดี แยกความเป็นมิตรศัตรูทางการเมืองออกมาก่อนแล้วสานพลังใจร่วมมือกัน ซึ่งวันนี้เราใกล้เคียงกับคำว่าชัยชนะเต็มที แม้ว่าจริงๆ แล้วอาจจะต้องรอคอยถึงวันที่มนุษย์เราคิดค้นวัคซีนได้ จึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงก็ตาม
เชื่อเถอะครับว่าสุขภาพต้องมาก่อนเสรีภาพ เพราะถ้าท่านตายไปก็ไม่มีเสรีภาพอยู่ดี
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan