การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้จะได้รับความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และถูกต่อต้านจากคนบางกลุ่ม รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
มาตรการเคอร์ฟิวส์ ห้ามออกนอกบ้านในช่วงเวลาที่กำหนด การปิดสถานบันเทิง หรือสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คน ห้ามมั่วสุม การกักตัวกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากต่างประเทศและพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด รวมทั้งการขยายเวลาเปิดเทอมออกไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม จากเดิมกำหนดเปิดเทอมวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ แม้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
แต่คนบางกลุ่มกลับแสดงพฤติกรรมเป็นคน “ขวางโลก” ออกมาอาละวาดโวยวายรัฐบาลเหมือนคนบ้า เพียงเพราะกลัวลูกตัวเองจะได้รับผลกระทบด้านการศึกษา ทั้งที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ลูกหลานมารับความเสี่ยง ไม่อยากให้ลูกไปโรงเรียน หากวิกฤต “โควิด” ยังไม่คลี่คลาย
เชื้อไวรัสโควิดเป็นโรคติดต่อร้ายแรง คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วหลายหมื่นคน มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 1 ล้านคน ซึ่งหากยังไม่ค้นพบยารักษาหรือวัคซีนป้องกัน มาตรการรับมือดีที่สุดคือ การควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลาม
หลายประเทศใช้ยาแรง ประกาศปิดประเทศ ห้ามประชาชนออกนอกบ้าน เพื่อลดการแพร่ระบาด ซึ่งแม้จะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แม้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการดำเนินชีวิตตามปกติ และแม้จะทำให้เศรษฐกิจทรุดหนัก แต่เป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนในแต่ละประเทศ
ประเทศไทยไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาแรงสูงสุด แต่ประกาศเคอร์ฟิวส์ในบางจังหวัด และบางพื้นที่ประกาศปิดเมือง
มาตรการรับมือไวรัสโควิคของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แยกเป็นสองส่วนคือ มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัส
มาตรการเยียวยาผลกระทบเฟส 3 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่งผ่าน ครม.มานั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลผลักดันออกมา เพื่อประคับประคองประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และพยุงระบบเศรษฐกิจไม่ให้พังทลาย
การกู้เงินนับล้านล้านบาทมารับมือกับโควิด จะเหมาะสมและแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ เป็นเรื่องที่สังคมจะต้องร่วมกันตั้งคำถาม และติดตามตรวจสอบการจ่ายในมาตรการต่างๆ
ส่วนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนั้น เป็นมาตรการที่ถูกผลักดันจากกลุ่มวิชาชีพแพทย์ และถอดแบบมาจากมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของประเทศที่เผชิญวิกฤตไวรัสเช่นเดียวกัน
ถ้าไม่ใช้ยาแรงที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ถ้าไม่ควบคุมการแพร่ระบาด ภายในเวลาไม่นาน ประเทศไทยอาจตกอยู่ในสภาพเดียวกับสหรัฐฯ หรืออีกหลายประเทศในยุโรป ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จำนวนผู้เสียชีวิตแต่ละวันเฉียด 1 พันคน
ถ้าทุกคนใช้ชีวิตอย่างสบาย เสพสุขกันตามปกติ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับโรคร้าย ไม่ร่วมมือกันต่อสู้กับไวรัสโควิด ภายในระยะเวลาสั้นๆ จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสอาจวิ่งไล่หลังหลายประเทศในยุโรป
เพราะไวรัสมรณะชนิดนี้ แพร่กระจายสู่คนได้อย่างรวดเร็ว แตกตัวจาก 1 ไปสู่ 2 ในชั่วเวลาสั้น โดยมีคนเป็นพาหะ และคนที่รับเชื้อเข้าไปในช่วงแรก ไม่มีการแสดงออกทางกายภาพแต่อย่างใด ไม่มีใครรู้ได้ว่า ติดโรคเข้าไปแล้ว ซึ่งอาจนำไปแพร่ต่อกับคนใกล้ชิด โดยเฉพาะคนภายในครอบครัว รวมทั้งลูกหลานตัวเล็กๆ ได้
ไวรัสโควิด เป็นเรื่องความเป็นความตาย ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันฝ่าโรคร้ายที่คุกคามคนทั่วโลกไปให้ได้ โดยปล่อยวางความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์ตลอดเวลาเกือบ 6 ปีไปชั่วคราว
รอวิกฤตโควิดผ่านพ้นไป จึงกลับมาสะสางความผิดพลาดพล.อ.ประยุทธ์กันใหม่ และไม่ควรมีใครลืมรัฐมนตรีหรือ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่มีมลทิน ซึ่งกำลังจะถูกเขี่ยออก
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ต้องร่วมกันติดตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสเป็นประเด็นสำคัญ ต้องหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสให้ได้ และต้องร่วมกันกดดันให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งกำลังคนและเครื่องมืออุปกรณ์
มาตรการที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ออกมาใช้ป้องกันการแพร่ระบาด โดยรวมไม่ถือว่าแรงเกินไป และยังหละหลวม บกพร่อง จนอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดด้วยซ้ำ เช่นการปล่อยให้คนที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หลุดรอดจากการถูกกักตัว ซึ่งเกิดขึ้นหลายกรณีแล้ว
การเลื่อนเวลาเปิดเทอม การกักตัวกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ การประกาศเคอร์ฟิวส์ แม้จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตตามปกติบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ยอมรับและปรับตัวตามสถานการณ์ เพราะรู้ดีว่า ประเทศตกอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำตัวขวางโลก เที่ยวออกมาอาละวาดร้องเอะอะโวยวายรัฐบาลบ้าง ต่อต้านมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาดบ้าง หรือแหกฝ่าฝืนข้อกำหนดบ้าง
ทุกสังคมมักจะมีคนประเภทแหกคอก คิดบ้าๆ ปะปน และวิกฤตโควิดครั้งนี้ ได้เห็นคนบ้าๆ คนเห็นแก่ตัว ไม่ยอมรับกติกาของสังคมออกมาแสดงตัวจำนวนไม่น้อย รวมทั้งนักการเมือง สื่อ ลูกสมุนนายทักษิณ ชินวัตร