การประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และอาจนำไปสู่การปิดกรุงเทพมหานคร หรือปิดเมืองในหลายจังหวัด รวมทั้งการกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน อาจมีคนจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย แต่คนส่วนใหญ่น่าจะสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาล
เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลุกลามอย่างรวดเร็ว เพียงรอบสัปดาห์เดียว จนเกิดความกังวลว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่วิกฤตเหมือนอิตาลี สหรัฐฯ หรือเยอรมนีที่เชื้อไวรัสปะทุ จนรัฐบาลแต่ละประเทศแทบรับมือไม่อยู่
จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่หลายประเทศพุ่งขึ้นวันละหลายพันคน โดยสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นวันละมากกว่า 1 หมื่นคนหลายวันแล้ว ขณะที่อิตาลีผู้เสียชีวิตขยับขึ้นเฉียด 1 พันคนต่อวัน
แม้การประกาศภาวะฉุกเฉิน จะเป็นยาแรงกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในวงกว้าง จำนวนคนตกงาน ขาดรายได้จะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่ยาแรงของประเทศไทย ยังรุนแรงน้อยกว่าหลายประเทศ ซึ่งประกาศปิดประเทศ ห้ามออกนอกบ้าน เพื่อปิดเส้นทางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
ผู้ที่ฝ่าฝืนประกาศของรัฐบาลออกนอกบ้านโดยไม่มีเหตุจำเป็น นอกจากติดคุก ยังถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีไล่กลับเข้าบ้าน
ไวรัสโควิด-19 เป็นเชื้อร้าย ติดง่าย จึงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และอัตราการเสียชีวิตสูง จึงจำเป็นต้องสกัดให้อยู่
เพราะไม่มีใครอยากเห็นประเทศไทยตกอยู่ในวิกฤตเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ อิตาลี สหรัฐฯ เยอรมนีหรืออีกหลายประเทศที่เชื้อไวรัสร้ายยังลุกลาม
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการเฉียบขาด ปิดเมือง ปิดประเทศจึงดังมาตลอด โดยเฉพาะกลุ่มแพทย์ที่เห็นมหัตภัยโควิด-19
ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยกำลังพุ่งใกล้สู่ตัวเลข 4 หลัก หรือเกือบ 1,000 ราย เสียชีวิต 4 ราย โดยเพิ่งมีตัวเลขอัตราเร่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จนมีคำถามว่า ประเทศไทยเดินมาถึงจุดวิกฤตไวรัสได้อย่างไร
เพราะก่อนหน้า ตัวเลขผู้ติดเชื้อนิ่งอยู่ที่ประมาณ 30 รายเศษอยู่หลายสัปดาห์ โดยมีผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียว จนได้รับคำชมเชยในฐานะประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างดี
แต่นับจากเชื้อไวรัสปะทุขึ้นในสนามมวยและสถานบันเทิง ก่อนแพร่กระจายไปสู่คนภายนอก ตัวเลขติดเชื้อก็พุ่งขึ้น จนสถานการณ์แทบคุมไม่อยู่ เพราะไม่รู้ว่า ใครเป็นพาหะติดเชื้อแพร่สู่คนอื่น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์การโจมตีอย่างหนัก เพราะไม่มีมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันการแพร่ระบาด แต่กลับให้ความสำคัญกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และพยุงตลาดหุ้นมากกว่า
ไวรัสโควิด-19 เป็นเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนทั้งประเทศประมาณ 70 ล้านคน ถ้าปล่อยให้แพร่ระบาดลุกลามภายในเวลาไม่กี่เดือน อาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหลายแสนคน หรืออาจพุ่งขึ้นนับล้านคน
ผู้ติดเชื้อทุกคนมีอัตราเสี่ยงพอกัน เพียงแต่เด็กและคนชราอาจมีอัตราเสี่ยงมากกว่า
การควบคุมการแพร่ระบาด จึงเป็นวาระเร่งด่วนที่สุดของประเทศ
เพราะวิกฤตเศรษฐกิจยังกอบกู้กันได้ ประชาชนหาเช้ากินค่ำที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน อาจพอประคับประคองตัวกันไปพลางๆ ก่อน แต่ชีวิตที่สูญสิ้นไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้
พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องคำนึงถึงการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนเป็นอันดับแรก และทุ่มเททุกสรรพสิ่งเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ส่วนงบประมาณที่จะทุ่มไปในการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องรอง
5 ปีกับอีกหลายเดือนในรัฐบาลปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ถูกวิพากษ์ถึงภาวะการเป็นผู้นำ และการรับมือกับวิกฤตไวรัส ยิ่งตอกย้ำคำถามถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ
วิกฤตไวรัสโควิด-19 กำลังทดสอบวุฒิภาวะผู้นำทั่วโลก ทั้งความกล้าหาญในการตัดสินใจ และวิสัยทัศน์ในการกำหนดมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาด
หลายประเทศแทบจะโยนผ้ายอมแพ้เชื้อมรณะสายพันธุ์นี้แล้ว เพราะคุมไม่อยู่ และจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้น กำลังสั่นคลอนเก้าอี้ผู้นำหลายประเทศ รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะสุกงอมในความล้มเหลวการแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ
แต่หลายประเทศสามารถชูกำปั้นอย่างภาคภูมิใจ เพราะเอาชนะเชื้อไวรัสได้ เช่น จีน ไต้หวัน และเป็นแบบอย่างของผู้นำที่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด
พล.อ.ประยุทธ์ ก้าวมาถึงจุดทดสอบสำคัญหรืออาจเป็นบททดสอบสุดท้ายของการเป็นผู้นำประเทศ
เพระถ้าเอาชนะไวรัสโควิด-19 ได้ อาจพลิกสถานการณ์เป็นวีรบุรุษจากวิกฤต
แต่ถ้าควบคุมเชื้อไวรัสไม่อยู่ รัฐบาลลุงตู่อาจต้องปิดฉากเสียที