ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ทางแพร่งที่"ลุงตู่" ต้องกล้าตัดสินใจ โควิดตจว. จะพัง-ไม่พัง อยู่ที่ "ลุงป๊อก" มหาดไทย มัวเกรงใจกันระวังพิบัติทั่วแผ่นดิน
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามต่างจังหวัดตอนนี้กำลังระส่ำระสาย เมื่อประชาชนจำนวนมากไหลออกจากกทม. ที่เป็นศูนย์กลางที่พบไวรัสโควิด-19 มากที่สุด
ความน่าสะพรึงที่พบคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจังหวัดต่างๆ เริ่มมากขึ้น แม้สังคมโซเชียลฯ จะพยายามรณรงค์ ให้อยู่กับที่ ไม่เดินทางเพราะ "กลับบ้าน=แพร่เชื้อ" แต่จะด้วยว่า คนจิตสำนึกสาธารณะ หรือมาตรการรัฐไม่ชัดเจนพอ หรือไม่มีทางเลือก
จากเซียนมวยที่ทยอยกลับบ้านมาถึงคนหมู่มาก แรงงานที่ได้ผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองเดินทางกลับบ้าน หลายๆ อย่างรวมกัน จนตอนนี้เรียกว่า สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ส่อเค้าว่าจะ "เอาไม่อยู่"
ยิ่งเจอประชาชนในพื้นที่เพิกเฉย ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว "ใช้ชีวิตติดประมาท" เข้าไปด้วย ยิ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเป็นตัวเร่งให้เหตุการณ์เลวร้ายลง จนพ่อเมืองหลายจังหวัดต้องกุมขมับ เท้าก่ายหน้าผาก
แนวโน้มการระบาดถ้าคุมไม่ได้ ว่ากันว่า แค่จังหวัดเล็กๆ อย่าง สุรินทร์ น่าจะอยู่ที่ 100,000 คนหรือ 10% ของจำนวนประชากร และถ้าเอาจำลองรูปแบบการระบาดของอู่ฮั่น ประเทศจีนมาจับ ใน 100,000 คน ที่ติดเชื้อ 80,000 คน หรือ 80% ของคนติดเชื้อ จำนวนคนป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ และเครื่องมือมันไม่ได้สัดส่วนกัน ความโกลาหลวุ่นวายจะมีมากขนาดไหน
นี่แค่สุรินทร์ จังหวัดเดียว ถ้ารวมทุกๆจังหวัด ตัวเลขจะเพิ่มสูงแค่ไหน ลองคิดตามดู
ต้องยอมรับว่า หลัง "พล.ต.อ.อัศวิน ชวัญเมือง" ผู้ว่าราชการ กทม. ประกาศมาตรการปิดสถานที่ ปิดการให้บริการของห้าง แหล่งชุมนุมของคนหมู่มาก ขอให้เอกชน อยู่บ้าน Work from home จากศูนย์กลางที่พบผู้ป่วยติดเชื้อทั้งที่สนามมวย และ ผับ ค่อยๆ ลดลง
นั่นอาจจะพิสูจน์ได้ว่า มาตรการโดยการปิดเมืองมาถูกทาง ด้านการสาธารณสุข ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งการแพร่ระบาด
หรือ มาตรการด้านการคลัง มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบค่อยๆ ทยอยออกมาจะบรรเทาได้แค่ไหนอย่างไร เดี๋ยวค่อยตามว่ากัน
ตอนนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดจึงอยู่ที่การดูแลควบคุมการแพร่ระบาดในต่างจังหวัดว่าจะ"เอาอยู่มั้ย" จะเป็นเรื่องทดสอบผู้ว่าราชการหลายๆ จังหวัด ว่าจะไหวหรือเปล่า
บางจังหวัดที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ บางคนลงพื้นที่ทำงานจริงจัง เด็ดขาดก็ดีไป แต่จังหวัดไหนตัดสินใจไม่ดี ปล่อยปละละเลย คุมไม่ได้ผลร้ายก็ตามมาอย่างที่เห็นๆ กันที่ หาดบางแสน ชลบุรี หรือจะเป็นที่ จ.พิษณุโลก
จังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ จะพัง-ไม่พัง มหาภัยพิบัติ จะกระจายไปทั่วแผ่นดิน ภายใน 30 วัน หรือราวปลายๆ เดือนเมษาฯ จะมีติดเชื้อหลักหลายแสนคน
เหตุการณ์จะเป็นอย่างที่คุณหมอพากันหวาดหวั่น มีคนล้มป่วยเป็นใบไม้ร่วงแบบ "อิตาลี" หรือจะหยุดยั้งได้ คีย์สำคัญอยู่ที้ฝ่ายปกครองอยู่ที่ "มหาดไทย" เต็มๆเลยงานนี้
ฝ่ายปกครองอยู่ภายใต้ มหาดไทย และ กระทรวงนี้ย่อมหมายถึง "ลุงป๊อก" พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการ ที่ในทางส่วนตัวกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความเกรงใจยิ่งในฐานะ "พี่น้อง 3ป."
ว่ากันว่า "ลุงตู่" ให้ความเป็นอิสระแก่มหาดไทยของ"ลุงป๊อก" เพราะความยำเกรงในตัวลุงป๊อกมาตลอด เผลอๆ มากกว่า "ลุงป้อม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ "พี่ใหญ่ของ3ป." เสียอีก มหาดไทยอยากจะทำอะไรก็เอาที่พี่ป๊อก สบายใจ ใช่ หรือไม่ ?
ในห้วงวิกฤตโควิด-19 หลุดจาก กทม.ออกไป "พลเอกอนุพงษ์ "ควรเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแบ่งเบาภาระของลุงตู่ และรัฐบาล แต่ตามสไตล์"เสือเงียบ" ของลุงป๊อก ก็เลือกที่จะอยู่เงียบๆ ไม่ออกแอ็กชัน ไม่กระตือรือร้น สั่งการ หรือ ลุยแสดงบทบาทผู้นำแบบที้ควรจะเป็น
มาตรการของจังหวัด การปกครองลงไป อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ไหนจะชายแดนต่างๆ เครือข่ายและขอบเขตอำนาจมากมายจริงๆ หากทำกันแบบไม่เข้มข้น เต็มที่เกรงว่า ถ้าเป็นแบบนี้ จากตัวช่วยจะกลายเป็นตัวถ่วง น่าเป็นห่วงแทนผู้ว่าฯต่างจังหวัดต้องสู้แบบอาศัยความสามารถเฉพาะตัวกันเอง
ภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน "ลุงตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้บอกว่า "ผมกล้าตัดสินใจอยู่แล้ว ในมาตราการเข้มข้นสูงสุด ผมพร้อมสั่ง”
เมื่อ"ลุงตู่" ประกาศแล้วก็ต้องกล้าล้วงอำนาจมหาดไทย กล้าที่จะใช้อำนาจสั่งการ"ลุงป๊อก" ด้วย
ได้แต่หวังว่า จะได้เห็นความเด็ดขาดนั้นของ"ลุงตู่" ก่อนที่สังคมจะหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย... นอกจากปาฏิหาริย์
ย้ำอีกครั้ง วันนี้มหาดไทยเป็นหลัก หัวใจสำคัญในการยับยั้งไวรัสโควิดจะ "เอาอยู่" หรือ "คุมไม่ได้" อยู่ที่ พลเอกอนุพงษ์
สถานการณ์วันนี้มาถึงทางแพร่งของ ลุงตู่ ต้องตัดสินใจ เลิกเกรงใจ พี่ป๊อก ได้แล้ว!!
**แก้หน้ากากอนามัย-เจลล้างมือไม่ได้สักที ระหว่าง"รัฐล้มเหลว" กับจัดการกับ "ประชาธิปัตย์" ลุงตู่ จะเอาแบบไหน ?
วิกฤตโควิด-19 หนักขึ้นทุกวัน แต่ทำไมสินค้าที่เป็นเครื่องป้องกันตัวของประชาชนพื้นฐาน อย่าง"หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ" ในท้องตลาดจึงยังหาซื้อไม่ได้ ทั้งๆที่กระทรวงพาณิชย์ก็ประกาศว่าได้ขอให้โรงงานผลิตเพิ่มขึ้นจากวันละ1.2ล้านชิ้น เป็น2.2ล้านชิ้น
นอกจากคนทั่วไปหาซื้อไม่ได้ แม้แต่โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังต้องประกาศขอรับบริจาคหน้ากากอนามัยออกมาเป็นระยะๆ มันสวนทางกันกับนโยบายแก้ปัญหาอย่างไรไม่รู้
แถมตลกร้ายที่สุดก็ตรงที่ว่า ในท้องตลาดไม่มี กลับไปมีขายในตลาดมืด ตลาดออนไลน์กันโจ่งครึ่ม ราคาไม่ต้องพูดถึงขายกันสูงกว่า 2.50 บาทสำหรับหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ถ้าเป็น N95มาตรฐานสูง ก็ต้องจ่ายชิ้นละเป็นร้อย ขณะที่แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ หรือ เจลล้างมือ ก็ราคาโคตรแพง
ว่ากันว่า นาทีนี้คนไทยไม่รอของ "กระทรวงพาณิชย์" ถ้าใครอยากได้หน้ากากอนามัย-แอลกอฮอล์ ก็แค่สั่งออนไลน์ยอมจ่ายแพงๆ ยอมเจ็บใจถูกโก่งราคาขูดรีดก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันตัวเอง
งานนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ "จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์" รมว.กระทรวงพาณิชย์ ได้โอกาสทำงานแต่ผลงานมานานตั้งแต่เริ่มจนปัจจุบันก็อย่างที่เห็น ปัญหาการกักตุน ขายเกินราคา ถามว่า วันนีมีอะไรดีขึ้นบ้าง
คำถามง่ายๆ หน้ากากอนามัย-เจลล้างมือ หรือ แอลกอฮอล์ ที่วางขายในตลาดมืดและออนไลน์มาจากไหน
พ่อค้าแม่ขายออนไลน์เอาสินค้าพวกนั้นมาจากไหน?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า "สินค้าที่กักตุน" หรือ เล็ดลอดไปขายตามออนไลน์ ที่จริงแล้วก็มาจากโรงงานที่กระทรวงพาณิชย์เองก็รู้ดี เป็นส่วนเกินที่ผลิตไม่ได้แจ้ง หรือ ของผีที่แอบปล่อยมาขายทำกำไร คล้ายๆ เทปผี ซีดีเถื่อน ในอดีต
เรียกว่า ปัญหานี้แก้ไม่ตกสักที กลไกตลาดพังพินาศ ทั้งๆที่ "รมว.พาณิชย์" นั่งเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมดูแลเอง
ไม่นับรวมปมคาใจของคนในสังคมกรณีขบวนการกักตุนหน้ากากของคนใกล้ชิด ก็ยังไม่คลี่คลาย เจอหน้ากากอนามัยขายออนไลน์เขายกันเอิกเกริกให้ประชาชนตาดำๆ สงสัยอีก งานนี้ "รมว.จุรินทร์ " ค่อยๆทำให้รัฐบาลจะกลายเป็น"รัฐที่ล้มเหลว" ไปทีละน้อยๆ
ล้มเหลวต่อการแก้ปัญหาพื้นฐานให้ประชาชนอย่างสิ้นเชิง
ทั้งๆที่หนทางแก้ไขไม่ใช่เรื่องที่อับจนสิ้นปัญญา ยกตัวอย่างวันก่อนที่เสนอไปเรื่องของการ"นำเข้า"อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน ต้องผ่อนปรนให้มีการนำเข้าจากต่างประเทศที่สถานการณ์ของเขาคลี่คลาย อย่างจีนเป็นต้น
หรือปลดล็อกโรงงานที่ได้บีโอไอ ส่งออกร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ขอกันปันกันมาช่วยกันหน่อยในยามที่วิกฤติเช่นนี้ อย่างน้อยๆให้โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้ไม่ขาดแคลนก่อน
ดีๆชั่วๆออกมาตรการแรงกับโรงงานที่แอบเอาไปปล่อยในตลาดมืด-ออนไลน์ หรือห้ามขายออนไลน์ชั่วคราว เพื่อนำหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ มาอยู่ในตลาด กำหนดราคาควบคุมใหม่ให้โรงงานอยู่ได้ ประชาชนหาซื้อในตลาดทั่วไปๆ ได้ปกติเสียที ประโยชน์จะตกอยู่กับใครถ้าไม่ใช่ประเทศชาติ
การปล่อยให้เป็นอย่างนี้ นอกจากน่าสงสัยว่า"ใครได้ประโยชน์" จึงไม่เปลี่ยนไม่แก้ตามเสียงร่ำลือ รัฐบาลก็มีแต่เสียกับเสีย เป็นรัฐล้มเหลวคนเสื่อมศรัทธาไปในที่สุด
ถึงเวลาหรือยังที่ "ลุงตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลงมือผ่าตัดชิ้นเนื้อร้ายวิกฤตศรัทธาหน้ากากอนามัยเสียที
ถึงเวลาหรือยังที่ "ลุงตู่" จะลุกขึ้นมาจัดการกับ"ประชาธิปัตย์" ที่รับผิดชอบเรื่องนี้
ระหว่างรัฐที่ล้มเหลว กับพรรคร่วมที่เป็นปัญหา...ลุงตู่ จะเอาแบบไหน?
----------
รูป-- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา –พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
- จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
**ทางแพร่งที่"ลุงตู่" ต้องกล้าตัดสินใจ โควิดตจว. จะพัง-ไม่พัง อยู่ที่ "ลุงป๊อก" มหาดไทย มัวเกรงใจกันระวังพิบัติทั่วแผ่นดิน
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามต่างจังหวัดตอนนี้กำลังระส่ำระสาย เมื่อประชาชนจำนวนมากไหลออกจากกทม. ที่เป็นศูนย์กลางที่พบไวรัสโควิด-19 มากที่สุด
ความน่าสะพรึงที่พบคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจังหวัดต่างๆ เริ่มมากขึ้น แม้สังคมโซเชียลฯ จะพยายามรณรงค์ ให้อยู่กับที่ ไม่เดินทางเพราะ "กลับบ้าน=แพร่เชื้อ" แต่จะด้วยว่า คนจิตสำนึกสาธารณะ หรือมาตรการรัฐไม่ชัดเจนพอ หรือไม่มีทางเลือก
จากเซียนมวยที่ทยอยกลับบ้านมาถึงคนหมู่มาก แรงงานที่ได้ผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองเดินทางกลับบ้าน หลายๆ อย่างรวมกัน จนตอนนี้เรียกว่า สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ส่อเค้าว่าจะ "เอาไม่อยู่"
ยิ่งเจอประชาชนในพื้นที่เพิกเฉย ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว "ใช้ชีวิตติดประมาท" เข้าไปด้วย ยิ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเป็นตัวเร่งให้เหตุการณ์เลวร้ายลง จนพ่อเมืองหลายจังหวัดต้องกุมขมับ เท้าก่ายหน้าผาก
แนวโน้มการระบาดถ้าคุมไม่ได้ ว่ากันว่า แค่จังหวัดเล็กๆ อย่าง สุรินทร์ น่าจะอยู่ที่ 100,000 คนหรือ 10% ของจำนวนประชากร และถ้าเอาจำลองรูปแบบการระบาดของอู่ฮั่น ประเทศจีนมาจับ ใน 100,000 คน ที่ติดเชื้อ 80,000 คน หรือ 80% ของคนติดเชื้อ จำนวนคนป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ และเครื่องมือมันไม่ได้สัดส่วนกัน ความโกลาหลวุ่นวายจะมีมากขนาดไหน
นี่แค่สุรินทร์ จังหวัดเดียว ถ้ารวมทุกๆจังหวัด ตัวเลขจะเพิ่มสูงแค่ไหน ลองคิดตามดู
ต้องยอมรับว่า หลัง "พล.ต.อ.อัศวิน ชวัญเมือง" ผู้ว่าราชการ กทม. ประกาศมาตรการปิดสถานที่ ปิดการให้บริการของห้าง แหล่งชุมนุมของคนหมู่มาก ขอให้เอกชน อยู่บ้าน Work from home จากศูนย์กลางที่พบผู้ป่วยติดเชื้อทั้งที่สนามมวย และ ผับ ค่อยๆ ลดลง
นั่นอาจจะพิสูจน์ได้ว่า มาตรการโดยการปิดเมืองมาถูกทาง ด้านการสาธารณสุข ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งการแพร่ระบาด
หรือ มาตรการด้านการคลัง มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบค่อยๆ ทยอยออกมาจะบรรเทาได้แค่ไหนอย่างไร เดี๋ยวค่อยตามว่ากัน
ตอนนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดจึงอยู่ที่การดูแลควบคุมการแพร่ระบาดในต่างจังหวัดว่าจะ"เอาอยู่มั้ย" จะเป็นเรื่องทดสอบผู้ว่าราชการหลายๆ จังหวัด ว่าจะไหวหรือเปล่า
บางจังหวัดที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ บางคนลงพื้นที่ทำงานจริงจัง เด็ดขาดก็ดีไป แต่จังหวัดไหนตัดสินใจไม่ดี ปล่อยปละละเลย คุมไม่ได้ผลร้ายก็ตามมาอย่างที่เห็นๆ กันที่ หาดบางแสน ชลบุรี หรือจะเป็นที่ จ.พิษณุโลก
จังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ จะพัง-ไม่พัง มหาภัยพิบัติ จะกระจายไปทั่วแผ่นดิน ภายใน 30 วัน หรือราวปลายๆ เดือนเมษาฯ จะมีติดเชื้อหลักหลายแสนคน
เหตุการณ์จะเป็นอย่างที่คุณหมอพากันหวาดหวั่น มีคนล้มป่วยเป็นใบไม้ร่วงแบบ "อิตาลี" หรือจะหยุดยั้งได้ คีย์สำคัญอยู่ที้ฝ่ายปกครองอยู่ที่ "มหาดไทย" เต็มๆเลยงานนี้
ฝ่ายปกครองอยู่ภายใต้ มหาดไทย และ กระทรวงนี้ย่อมหมายถึง "ลุงป๊อก" พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการ ที่ในทางส่วนตัวกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความเกรงใจยิ่งในฐานะ "พี่น้อง 3ป."
ว่ากันว่า "ลุงตู่" ให้ความเป็นอิสระแก่มหาดไทยของ"ลุงป๊อก" เพราะความยำเกรงในตัวลุงป๊อกมาตลอด เผลอๆ มากกว่า "ลุงป้อม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ "พี่ใหญ่ของ3ป." เสียอีก มหาดไทยอยากจะทำอะไรก็เอาที่พี่ป๊อก สบายใจ ใช่ หรือไม่ ?
ในห้วงวิกฤตโควิด-19 หลุดจาก กทม.ออกไป "พลเอกอนุพงษ์ "ควรเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแบ่งเบาภาระของลุงตู่ และรัฐบาล แต่ตามสไตล์"เสือเงียบ" ของลุงป๊อก ก็เลือกที่จะอยู่เงียบๆ ไม่ออกแอ็กชัน ไม่กระตือรือร้น สั่งการ หรือ ลุยแสดงบทบาทผู้นำแบบที้ควรจะเป็น
มาตรการของจังหวัด การปกครองลงไป อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ไหนจะชายแดนต่างๆ เครือข่ายและขอบเขตอำนาจมากมายจริงๆ หากทำกันแบบไม่เข้มข้น เต็มที่เกรงว่า ถ้าเป็นแบบนี้ จากตัวช่วยจะกลายเป็นตัวถ่วง น่าเป็นห่วงแทนผู้ว่าฯต่างจังหวัดต้องสู้แบบอาศัยความสามารถเฉพาะตัวกันเอง
ภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน "ลุงตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้บอกว่า "ผมกล้าตัดสินใจอยู่แล้ว ในมาตราการเข้มข้นสูงสุด ผมพร้อมสั่ง”
เมื่อ"ลุงตู่" ประกาศแล้วก็ต้องกล้าล้วงอำนาจมหาดไทย กล้าที่จะใช้อำนาจสั่งการ"ลุงป๊อก" ด้วย
ได้แต่หวังว่า จะได้เห็นความเด็ดขาดนั้นของ"ลุงตู่" ก่อนที่สังคมจะหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย... นอกจากปาฏิหาริย์
ย้ำอีกครั้ง วันนี้มหาดไทยเป็นหลัก หัวใจสำคัญในการยับยั้งไวรัสโควิดจะ "เอาอยู่" หรือ "คุมไม่ได้" อยู่ที่ พลเอกอนุพงษ์
สถานการณ์วันนี้มาถึงทางแพร่งของ ลุงตู่ ต้องตัดสินใจ เลิกเกรงใจ พี่ป๊อก ได้แล้ว!!
**แก้หน้ากากอนามัย-เจลล้างมือไม่ได้สักที ระหว่าง"รัฐล้มเหลว" กับจัดการกับ "ประชาธิปัตย์" ลุงตู่ จะเอาแบบไหน ?
วิกฤตโควิด-19 หนักขึ้นทุกวัน แต่ทำไมสินค้าที่เป็นเครื่องป้องกันตัวของประชาชนพื้นฐาน อย่าง"หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ" ในท้องตลาดจึงยังหาซื้อไม่ได้ ทั้งๆที่กระทรวงพาณิชย์ก็ประกาศว่าได้ขอให้โรงงานผลิตเพิ่มขึ้นจากวันละ1.2ล้านชิ้น เป็น2.2ล้านชิ้น
นอกจากคนทั่วไปหาซื้อไม่ได้ แม้แต่โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังต้องประกาศขอรับบริจาคหน้ากากอนามัยออกมาเป็นระยะๆ มันสวนทางกันกับนโยบายแก้ปัญหาอย่างไรไม่รู้
แถมตลกร้ายที่สุดก็ตรงที่ว่า ในท้องตลาดไม่มี กลับไปมีขายในตลาดมืด ตลาดออนไลน์กันโจ่งครึ่ม ราคาไม่ต้องพูดถึงขายกันสูงกว่า 2.50 บาทสำหรับหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ถ้าเป็น N95มาตรฐานสูง ก็ต้องจ่ายชิ้นละเป็นร้อย ขณะที่แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ หรือ เจลล้างมือ ก็ราคาโคตรแพง
ว่ากันว่า นาทีนี้คนไทยไม่รอของ "กระทรวงพาณิชย์" ถ้าใครอยากได้หน้ากากอนามัย-แอลกอฮอล์ ก็แค่สั่งออนไลน์ยอมจ่ายแพงๆ ยอมเจ็บใจถูกโก่งราคาขูดรีดก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันตัวเอง
งานนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ "จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์" รมว.กระทรวงพาณิชย์ ได้โอกาสทำงานแต่ผลงานมานานตั้งแต่เริ่มจนปัจจุบันก็อย่างที่เห็น ปัญหาการกักตุน ขายเกินราคา ถามว่า วันนีมีอะไรดีขึ้นบ้าง
คำถามง่ายๆ หน้ากากอนามัย-เจลล้างมือ หรือ แอลกอฮอล์ ที่วางขายในตลาดมืดและออนไลน์มาจากไหน
พ่อค้าแม่ขายออนไลน์เอาสินค้าพวกนั้นมาจากไหน?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า "สินค้าที่กักตุน" หรือ เล็ดลอดไปขายตามออนไลน์ ที่จริงแล้วก็มาจากโรงงานที่กระทรวงพาณิชย์เองก็รู้ดี เป็นส่วนเกินที่ผลิตไม่ได้แจ้ง หรือ ของผีที่แอบปล่อยมาขายทำกำไร คล้ายๆ เทปผี ซีดีเถื่อน ในอดีต
เรียกว่า ปัญหานี้แก้ไม่ตกสักที กลไกตลาดพังพินาศ ทั้งๆที่ "รมว.พาณิชย์" นั่งเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมดูแลเอง
ไม่นับรวมปมคาใจของคนในสังคมกรณีขบวนการกักตุนหน้ากากของคนใกล้ชิด ก็ยังไม่คลี่คลาย เจอหน้ากากอนามัยขายออนไลน์เขายกันเอิกเกริกให้ประชาชนตาดำๆ สงสัยอีก งานนี้ "รมว.จุรินทร์ " ค่อยๆทำให้รัฐบาลจะกลายเป็น"รัฐที่ล้มเหลว" ไปทีละน้อยๆ
ล้มเหลวต่อการแก้ปัญหาพื้นฐานให้ประชาชนอย่างสิ้นเชิง
ทั้งๆที่หนทางแก้ไขไม่ใช่เรื่องที่อับจนสิ้นปัญญา ยกตัวอย่างวันก่อนที่เสนอไปเรื่องของการ"นำเข้า"อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน ต้องผ่อนปรนให้มีการนำเข้าจากต่างประเทศที่สถานการณ์ของเขาคลี่คลาย อย่างจีนเป็นต้น
หรือปลดล็อกโรงงานที่ได้บีโอไอ ส่งออกร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ขอกันปันกันมาช่วยกันหน่อยในยามที่วิกฤติเช่นนี้ อย่างน้อยๆให้โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้ไม่ขาดแคลนก่อน
ดีๆชั่วๆออกมาตรการแรงกับโรงงานที่แอบเอาไปปล่อยในตลาดมืด-ออนไลน์ หรือห้ามขายออนไลน์ชั่วคราว เพื่อนำหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ มาอยู่ในตลาด กำหนดราคาควบคุมใหม่ให้โรงงานอยู่ได้ ประชาชนหาซื้อในตลาดทั่วไปๆ ได้ปกติเสียที ประโยชน์จะตกอยู่กับใครถ้าไม่ใช่ประเทศชาติ
การปล่อยให้เป็นอย่างนี้ นอกจากน่าสงสัยว่า"ใครได้ประโยชน์" จึงไม่เปลี่ยนไม่แก้ตามเสียงร่ำลือ รัฐบาลก็มีแต่เสียกับเสีย เป็นรัฐล้มเหลวคนเสื่อมศรัทธาไปในที่สุด
ถึงเวลาหรือยังที่ "ลุงตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลงมือผ่าตัดชิ้นเนื้อร้ายวิกฤตศรัทธาหน้ากากอนามัยเสียที
ถึงเวลาหรือยังที่ "ลุงตู่" จะลุกขึ้นมาจัดการกับ"ประชาธิปัตย์" ที่รับผิดชอบเรื่องนี้
ระหว่างรัฐที่ล้มเหลว กับพรรคร่วมที่เป็นปัญหา...ลุงตู่ จะเอาแบบไหน?
----------
รูป-- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา –พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
- จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์