xs
xsm
sm
md
lg

“จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช-บิล เกตส์-ทรัมป์-โควิดฯ” ?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช | บิล เกตส์ | โดนัลด์ ทรัมป์
“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”


ความแน่นอน-คือ-ความไม่แน่นอน! ความไม่แน่นอน-คือ-ความแน่นอน!

เฮ้อ..ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า มหันตภัยไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” จะโผล่มาอาละวาดที่ประเทศจีน ในช่วงปลายปี 2562 ก่อนจะระบาดไปทั่วโลกอีกกว่า 200 ประเทศ ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนเมษายน 2563 ทำให้มนุษย์ตายไปแล้วมากกว่า 1 แสนคน และยังเดินหน้าระบาดคร่าชีวิตชาวโลกอย่างไม่หยุดยั้ง..

เรื่องไวรัสเพชฌฆาตอุบัติขึ้นในโลก เข่นฆ่ามนุษย์หลายครั้งแล้ว โดยมีการกลายพันธุ์ตลอดมาอีกด้วย การระบาดบางครา ไวรัสทำให้มนุษย์เสียชีวิตมากมายหลายสิบล้านคน แต่มนุษย์ก็ไม่เคยพ่ายแพ้เชื้อไวรัส แม้มนุษย์จะไม่สามารถ “ฆ่าไวรัส” ให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้ก็ตาม..

แต่ประวัติศาสตร์ได้บอกให้รู้ว่า ศึก “ไวรัสกลายพันธุ์” กับ“มนุษย์”นั้น “ไวรัสกลายพันธุ์” ทั้งหลาย ไม่เคยทำลายล้าง “มนุษย์” ให้ล้มตายหมดโลกได้เลย ตรงกันข้าม “มนุษย์” กลับวิจัยค้นคว้า จนพบ“ยา”และ “วัคซีน” มาใช้ควบคุมหรือสยบ “ไวรัสกลายพันธุ์”ได้ตลอด

ทว่า..น่าแปลกนะ! แทนที่ “มนุษย์” จะทุ่มเงินงบประมาณ เพื่อค้นคว้า-วิจัย-พัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อควบคุมและป้องกันโรคระบาดสารพัดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะไวรัสกลายพันธุ์ทั้งหลาย มิให้อาละวาดทำลายชีวิตมนุษย์.. ตามแนวทาง “การป้องกันดีกว่ารักษา” (Prevention is better than cure)

“มนุษย์” ผู้บริหารชาติมหาอำนาจทั้งหลาย กลับใช้เงินของรัฐอย่างมหาศาล ทุ่มไปกับการค้นคว้า-วิจัย-พัฒนา“อาวุธยุทโธปกรณ์” ขนาดใหญ่ไม่หยุดหย่อน เพื่อใช้ทำลายล้างชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง..

อาวุธร้ายแรงสารพัดชนิดเหล่านั้น ได้ทำลายล้างศัตรูในสงคราม กำราบรัฐที่ด้อยกว่า และยึดรัฐที่มีทรัพยากรล้ำค่า อันเป็นนโยบายของ “ผู้นำชาติ” มหาอำนาจ และ “กลุ่มทุนใหญ่” ที่จะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตนเองและพวกพ้อง จากการเข่นฆ่ามนุษยชาติที่อ่อนแอกว่า..

ชาติมหาอำนาจหลายชาติ ที่มากด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แทนที่จะทุ่มเทความสามารถและทรัพยากร มาพัฒนาควบคุมโรคระบาดร้ายแรงอย่างจริงจัง กลับทุ่มเงินงบประมาณอย่างไม่หยุดยั้งเรื่อยมา ไปกับการพัฒนาอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธมหาประลัย “นิวเคลียร์” ..

จนเมื่อ “ค.ศ.2005” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 43 “จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช” ได้ส่งสัญญาณเตือนชาติตนเองและชาวโลก ให้เตรียมรับมือกับ “โรคระบาดใหญ่” ทว่า..หลัง “จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช” พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี แผนการตั้ง “รับ” เปลี่ยนเป็น “รุก” เพื่อเตรียมต่อสู้กับ “โรคระบาดใหญ่” ของรัฐบาลอเมริกา ก็เงียบหายดุจดังคลื่นกระทบฝั่ง..

บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ออกมา “สั่นกระดิ่ง” เตือนภัย “โรคระบาดใหญ่” ตั้งแต่ “ค.ศ.2015” อย่างเป็นเรื่องเป็นราว คือ “บิล เกตส์” อภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของโลก ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทยักษ์ Microsoft

โดย “บิล เกตส์”ได้พูดบนเวที “TED Talks” เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ด้วยการทำนายไว้ล่วงหน้าว่า โรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไป ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติต่างๆ ยังไม่พร้อมที่จะรับมือ..

“บิล เกตส์” ระบุว่า..สงครามครั้งต่อไปจะไม่ใช่เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ แต่จะเป็น “เชื้อร้ายไวรัส” ซึ่งฆ่าคนได้ถึง 30 ล้านคน “บิล เกตส์” ยังเตือนว่า หากเกิดโรคระบาดร้ายแรงจริงอย่างที่เขากลัว ระบบสาธารณสุขของสหรัฐและของโลกจะไม่สามารถรองรับได้

3 ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 2018 “บิล เกตส์” ได้ส่งเสียงเตือนในทำนองเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ผ่านเวทีการประชุมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านโรคระบาด ว่า “อาจจะเกิดขึ้นภายในสิบปีข้างหน้า”!

แต่แค่ปีเดียว หลัง “บิล เกตส์” พยากรณ์ไว้ ปลายปี 2019 ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ก็เริ่มระบาดขึ้นในประเทศจีน ก่อนจะระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งตรงตาม “บิล เกสต์” พยากรณ์ไว้ทุกประการ นั่นคือ

ระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆทั่วโลก ยังไม่พร้อมจริงๆ ที่จะเผชิญหน้ากับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์อุบัติใหม่ โดยเฉพาะอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ชูคำขวัญ “อเมริกาเฟิร์ส” หรือ “อเมริกามาเป็นอันดับแรก” เชื้อโรคมรณะ “โควิด-19” ได้ทำให้ชาวมะกัน “ติดเชื้อ” และ “ตาย” เป็นอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว..

ในห้วงแรกๆ ที่เกิดการระบาด “โควิดฯ” ในประเทศจีนนั้น “ทรัมป์” ยังกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสบายอารมณ์ ด้วยเชื้อไวรัสยังอยู่ห่างไกลจากชาติมะกัน รวมทั้ง “ทรัมป์” ยังเชื่อว่า “จีนจะต้องพังพินาศด้วยไวรัสระบาดในครั้งนี้” อย่างแน่นอน

แต่กรรมกลับโผล่มาตามสนอง “ทรัมป์” เข้าจังเบอร์ เพราะขณะที่จีนยับยั้ง-ควบคุม-สยบ“โควิดฯ”ไว้ได้แล้ว สหรัฐกลับต้องเจอกับเชื้อไวรัส “โควิดฯ” ระบาดอย่างรวดเร็วใหญ่โต จนชาวมะกันติดเชื้อนับแสนคน ตายอีกกว่าหมื่นคน อีกทั้งเชื้อไวรัสร้ายนี้ยังระบาดอุตลุด อยู่ในสหรัฐอเมริกาจนวันนี้..

ห้วงนี้ “ลุงทรัมป์” อารมณ์จึงบ่จอยเอามากๆ ถึงขนาดอาละวาดหาเรื่องกับจีน และบานปลายไปจนถึงขั้นประณาม WHO ว่าทำงานล่าช้าและผิดพลาดตลอด จนชาติอเมริกาตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้ อีกทั้ง WHO ยังเอาใจชาติจีนจนเกินงาม ว่าแล้ว “ทรัมป์” ก็ประกาศจะตัดเงินช่วยเหลือ WHO ทั้งหมดอีกด้วย..เฮ้อ..

อาการเกเรเกตุง เที่ยวโยนความผิดให้คนอื่นคนนั้นคนนี้ โดยไม่เคยเห็นความผิดพลาดของตนเองแม้แต่น้อย พฤติกรรม“ทรัมป์ ”จึงตรงกับคำพังเพย “รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” เข้าอย่างจัง..

อ้อ..เมื่อเร็วๆ นี้ “บิล เกตส์” ถูกพิธีกรรายการ “TED” ถามว่า

“ถ้าคุณเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ วันนี้คุณจะสู้กับโควิด-19 อย่างไร?”

“บิล เกสต์” ตอบทันทีโดยไม่ลังเลว่า “ผมจะให้คนอเมริกันทั่วประเทศกักตัวเอง Isolation และ Flatten the curve เพราะไม่มีทางอื่นที่จะเอาอยู่”

Isolation สำหรับ “บิล เกสต์” ก็คือ “การแยกกักอย่างโดดเดี่ยว” ส่วน Flatten the curve คือการทำให้เส้นกราฟจำนวนผู้ติดเชื้อ “แบน” ลง ด้วยการกดไม่ให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

“บิล เกสต์” ยกตัวอย่างกรณีจีน “ปิดเมืองอู่ฮั่น” ใช้เวลา 6 สัปดาห์ก็ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสนิ่งลง

“เราจึงต้องเตรียมตัวเพื่อทำอย่าง(จีน)นี้..และต้องทำให้ดีด้วย และหากเราทำอย่างนั้นสัก 20 วัน เราก็จะเริ่มทำให้ตัวเลข(คนป่วย)เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และนั่นหมายความว่าเรากำลังมาถูกทาง”

“บิล เกสต์” ยอมรับถึงผลเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากโรคระบาดครั้งนี้สาหัสมาก เพราะเศรษฐกิจไม่เคยเจอภัยคุกคามหนักหน่วงขนาดนี้มาก่อนเลย แต่อภิมหาเศรษฐีระดับต้นของโลกได้บอกว่า

“เงินอาจจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาเหมือนเดิม การพลิกฟื้นเศรษฐกิจนั้น ง่ายกว่าการเอาชีวิตฟื้นคืนจากความหายนะ เราจึงต้องยอมรับความเจ็บปวดอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจ เพื่อลดความเสียหายและความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ของเชื้อโรคและความตาย..”

พิธีกรถาม “บิล เกสต์” ต่อว่า “คุณคิดว่า isolation (การแยกกักตัว)ไปถึงระดับไหน จึงจะเป็นที่ยอมรับได้ของสังคมวันนี้”

“บิล เกสต์” ตอบว่า “คุณจะออกไปซื้อข้าวของไหม..ถ้าระหว่างทางที่คุณเดินไปนั้นเต็มไปด้วยกองศพ?”

อืม..การเลือกระหว่างชีวิตกับเงินทอง อภิมหาเศรษฐีโลกคนนี้ถือว่า ชีวิตสำคัญกว่า เพราะหากมนุษย์ต้องตายกันเป็นล้านๆคน เงินก็คงไม่มีความหมายอะไรต่อสังคม

ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีน เคยพูดเอาไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง ในห้วงที่ “โควิด-19” ระบาดรุนแรงอยู่ในจีน ด้วยหลักการที่ว่า ..ชีวิตคนสำคัญที่สุด เศรษฐกิจฟื้นฟูทีหลังได้ แต่ชีวิตฟื้นกลับมาไม่ได้ จีนจะทุ่มทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตคนเป็นหลัก..

คำขวัญ America First ของ “ทรัมป์” กำลังเป็นจริง จากจำนวนคนป่วยด้วยโรคระบาด ที่ติดอันดับหนึ่งของโลก “โควิด-19” กำลังทำลายผู้คน-ความมั่งคั่ง-ความมั่นคง ของมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก!

อืม..ขอให้อเมริกันชนและชาวโลก จงปลอดภัยจากมหาภัยไวรัส “โควิด-19”

กำลังโหลดความคิดเห็น