หลายวันก่อนมีคนพากันติด#หมอทวีศิลป์ กัน เพราะพวกอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตย พากันออกมาโจมตี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เรียกว่า เรียงหน้ากันออกมาเป็นลูกระนาด ตอนแรกผมก็งงนะครับว่า จะไปโจมตีหมอทวีศิลป์ทำไม
เริ่มจากนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พิธีกรช่องวอยซ์ทีวีทวิตว่า “หมอทวีศิลป์ ไม่ต้องเอาเวลาหลวงแถลงผลงานประยุทธ์ หรือให้โอวาทครับ นั่นงานโฆษกรัฐบาล คุณยังไม่ได้เป็น”
นายศิโรตม์โพสต์ข้อความนี้วันที่ 9 เมษายน ถ้าไม่เข้าไปตรวจสอบว่า หมอทวีศิลป์ พูดอะไรก็คงจะเข้าใจว่า หมอทวีศิลป์เอาผลงานของพล.อ.ประยุทธ์มาพูดอย่างที่นายศิโรตม์กล่าวหา แต่เมื่อผมย้อนกลับไปฟังพบว่า วันนั้นมีการประชุม ศบค.และพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นประธาน หมอทวีศิลป์ซึ่งเป็นโฆษกของ ศบค.ก็ชอบแล้วที่จะต้องรายงานว่าวันนั้นมีการประชุมเรื่องใดบ้าง
แล้วทุกเรื่องที่หมอทวีศิลป์แถลงเกี่ยวกับพล.อ.ประยุทธ์นั้น ก็เป็นเรื่องของมาตรการและแนวทางในการแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งสิ้น โดยหมอทวีศิลป์ใช้เวลาประมาณ 8 นาทีสรุปการประชุมให้ฟัง
ฟังจากการแถลงของหมอทวีศิลป์ บอกว่า ในวันนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้ประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามงาน และพล.อ.ประยุทธ์ได้ไปตรวจและติดตามที่พักกักกันตัวของโรงแรมภัทราที่มอบให้รัฐใช้เป็นที่กักตัวผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ
รวมถึงมาตรการ 6 เรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์มอบหมายในวันนั้น คือ 1. ต้องชี้แจงกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำความเข้าใจกับประชาชน ก่อนจะมีมาตรการต่างๆ ออกมา การบริหารจัดการข้อมูล มีการทำให้เกิดบูรณาการและเป็นการรวมศูนย์ข้อมูล เพื่อเป็นเครื่องมือในการตัดสินก่อนออกมาตรการใดๆ และประชาสัมพันธ์เพื่อขอความร่วมมือกับประชาชน 3. การเดินทางเข้าออกประเทศไทยการกักตัวของรัฐและท้องถิ่นต้องเข้มงวดจริงจัง 4. เรื่องเคอร์ฟิวส์ยังไม่มีการปรับเวลา 5. เรื่องหน้ากากอนามัยแม้จะคลี่คลายปัญหาได้บ้าง ต้องจัดหาให้แพทย์ใช้อย่างพอเพียง 6. การเยียวยาคนได้รับผลกระทบต้องได้รับการดูแลจากนโยบายแจกเงิน 5,000 บาท ที่มีคนลงชื่อจำนวนมาก
ผมฟังแล้วไม่มีส่วนไหนที่หมอทวีศิลป์จะทำหน้าที่เกินเลยเลยครับ ใครฟังนายศิโรตม์เผินๆ ไม่ตรวจสอบก็อาจเข้าใจว่าหมอทวีศิลป์ไปยกยอพล.อ.ประยุทธ์เรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องโควิด-19 คำตอบคือไม่เลย หมอทวีศิลป์ล้วนแล้วแต่พูดถึงผลการประชุมในวันนั้นถ่ายทอดออกมาให้ประชาชนรับฟังว่า มีการประชุมเรื่องอะไรบ้างซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
งงครับว่า ทำไมนายศิโรตม์ถึงหัวร้อนอะไรขนาดนั้น เพราะสิ่งที่นายศิโรตม์ได้ฟังแล้วออกมาทวีตรับไม่ได้ก็เรื่องที่ผมถ่ายทอดมาข้างบนนี่แหละ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของศูนย์ ศบค.ที่หมอทวีศิลป์มีหน้าที่จะต้องถ่ายทอดต่อประชาชนทั้งสิ้น
หมอทวีศิลป์เป็นหมอก็จริงครับ แต่วันนี้หมอทวีศิลป์ทำหน้าที่โฆษก ศบค.ที่ต้องถ่ายทอดผลการประชุมให้ประชาชนฟัง ไม่ใช่มีหน้าที่แถลงเรื่องตัวเลขคนป่วยไข้เจ็บตายแต่ละวันอย่างเดียว
แน่นอนว่า นายศิโรตม์ไม่ชอบพล.อ.ประยุทธ์ แต่นายศิโรตม์ต้องรู้จักแยกแยะว่าวันนี้ในสถานการณ์แบบนี้ประเทศชาติกำลังประสบกับภาวะอะไร และต้องแยกแยะอารมณ์ค้างคาทางการเมืองออกมาเสียก่อน เมื่อพ้นจากภาวะวิกฤตแล้ว เราค่อยกลับมาโต้เถียงต่อสู้กันทางการเมืองก็ยังไม่เสียเวลาอะไร แต่ด้วยอคติของนายศิโรตม์เลยไปลงกับหมอทวีศิลป์ ทั้งที่ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์อยู่แล้ว
อีกคนที่ประหลาดมากและผมสังเกตเห็นพฤติกรรมประหลาดๆ ของแกในการแสดงความเห็นแต่ละครั้งเสมอมา แต่แปลกประหลาดยิ่งกว่าคือ แกเป็นถึงคณบดีของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นามของแกคือ รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า...
“นักทฤษฎีด้านอำนาจคนหนึ่งเสนอว่าสถาบันเบ็ดเสร็จจำพวกคุก โรงพยาบาลบ้า และค่ายทหาร ต่างมีวิถีอำนาจหลักเหมือนกันคือวินัย ภายใต้สถาบันเหล่านี้ ผู้คุมจิตแพทย์ และนายทหาร จะใช้อำนาจในการปรับเปลี่ยนนักโทษ คนบ้า และพลทหารให้มีความเชื่องเชื่อและใช้ประโยชน์ได้ โดยอาศัยแหล่งอ้างอิงการใช้อำนาจต่างกันออกไป เช่น จิตแพทย์อาศัยอำนาจจากวิชาจิตเวชศาสตร์ในการบำบัดรักษาคนบ้า ขณะที่นายทหารอาศัยอำนาจจากสายบังคับบัญชาในการฝึกฝนพลทหาร พวกเขาจึงคุ้นเคยกับการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จภายในสถาบันของตนเหมือนกัน
สังคมไทยพิเศษตรงที่สนับสนุนให้บุคคลเหล่านี้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จด้านนอกสถาบัน เพราะเป็นสังคมที่นิยมอำนาจ นอกจากจะเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องและยำเกรงในสภาวะปกติ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมา พวกเขามักจะถูกเรียกร้องให้เข้ามาแก้ไขโดยใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ
เราจึงเห็นการใช้คำเรียกพวกเขาสลับหรือแทนที่กันได้ ในการระบาดของไวรัสครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกบุคลากรทางการแพทย์ว่า “นักรบชุดขาว” “อัศวินเสื้อกาวน์” การเรียกการรักษาพยาบาลว่า “สู้ศึก” หรือการเรียกอุปกรณ์ทางการแพทย์ว่า “อาวุธ”
การเปรียบเปรยเหล่านี้แม้จะต้องการสร้างความฮึกเหิม ยกย่อง และให้กำลังใจ แต่ก็สะท้อนให้เห็นลักษณะอำนาจนิยมของสังคมไทย ที่ต้องการให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการคลี่คลายปัญหาเหมือนกับทหาร
ในทำนองเดียวกัน การที่โฆษก ศบค.มักเปรียบเปรยการรับมือสถานการณ์ การระบาดของไวรัสกับการทำศึกสงคราม อย่างการเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดว่า “พ่อเมือง” เรียกการระบาดว่า “ตีค่าย” และเรียกการตรวจพบผู้ติดเชื้อในแต่ละจังหวัดว่า “ป้อมแตก” จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสร้างสีสันและความเป็นกันเองในการแถลงข่าว
ผมว่าแกอาจจะป่วยนะครับ เอาการรักษาบำบัดคนไข้โรคจิตไปเปรียบเทียบกับการบังคับบัญชาทหารก็บ้าแล้ว
การพูดของหมอทวีศิลป์นั้นเป็นการอุปมาอุปไมย ผมเห็นผู้นำต่างประเทศเขาก็พูดกันว่า เรากำลังทำ “สงคราม” กับสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่แปลกอะไรที่จะเปรียบหมอเป็นนักรบเสื้อกาวน์เพื่อทำศึกกับเชื้อโรค มันกลายเป็นการสะท้อนการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จหรือเป็นเรื่องอำนาจนิยมไปได้อย่างไร
ใครฟังที่ไหนแปลเป็นภาษาไหนก็ไม่มีวันที่เข้าใจไปได้ว่าการอุปมาอุปไมยของหมอทวีศิลป์จะเป็นไปอย่างอาจารย์ท่านนี้ว่า เป็นการใช้อำนาจแบบเผด็จการทหาร ถ้าจะตีความไปอย่างนั้นได้ก็คงจะเป็นคนป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์เท่านั้น
ผมคิดว่า อาการทั้งของศิโรตม์และอนุสรณ์นั้นมาจากฝันค้างที่โควิด-19 มาทำให้อาการรุกไล่พล.อ.ประยุทธ์ชะงักงัน หลังจากที่เขาเห็นเด็กในมหาวิทยาลัยออกมาทำแฟลชม็อบแล้วทำท่าจะจุดติดแล้วต้องยกเลิกไป แถมเมื่อมาคุมสถานการณ์โควิด-19 หลังการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว สถานการณ์กลับดีขึ้นเรื่อยๆ พวกที่ลุ้นให้สถานการณ์แย่ลงเพื่อให้รัฐบาลพังไปด้วยก็เริ่มจะอารมณ์เสีย กระทั่งแยกแยะไม่ได้ว่าตอนนี้ประเทศกำลังประสบกับภาวะอะไร
หลังสถานการณ์โควิด-19 จบแล้ว ศิโรตม์กับอนุสรณ์จะรุกไล่พล.อ.ประยุทธ์ต่อก็ตามสบาย แต่ก่อนอื่นแนะนำให้ไปพบกับหมอทวีศิลป์ที่คลินิกจิตแพทย์เสียก่อน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan