ผู้เขียน :ร่มฉัตร จันทรานุกูล, University of International Business and Economics(UIBE)
ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารทางจีนอยู่สม่ำเสมออาจจะได้ทราบข่าวกันแล้วว่า สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19ในอู่ฮั่นและหูเป่ยดีขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. - 26 มี.ค. อู่ฮั่นและเมืองต่าง ๆ ในหูเป่ย มีตัวเลขรวมกันพบผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งราย ซึ่งผู้ป่วยรายใหม่นี้เป็นแพทย์ในอู่ฮั่นซึ่งติดเชื้อในระหว่างปฎิบัติงาน
จนถึง 26 มี.ค.อู่ฮั่นและหูเป่ยมีผู้ป่วยสะสมที่กำลังรักษาตัวอยู่ 3,431 ราย ในจำนวนนี้ผู้ป่วยอาการหนักยังเหลืออยู่ประมาณ 1,000 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหาย 61,201 ราย ซึ่งถือว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ในพื้นที่หูเป่ยและอู่ฮั่นได้รักษาหายดีแล้ว เพราะในอู่ฮั่นรวมมณฑลหูเป่ยมีผู้ป่วยสะสม 67,801 ราย ตั้งแต่เริ่มระบาดมา
ในปลายเดือนมีนาคมนี้ ข่าวดังระเบิดและเป็นที่ยินดีของคนทั้งประเทศจีนคือข่าวที่ทีมแพทย์และพยาบาลเริ่มทยอยออกจากพื้นที่ในหูเป่ยและอู่ฮั่น (บางทีมยังคงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยทีมแพทย์อู่ฮั่นรักษาผู้ป่วยอยู่) เป็นสัญญาณว่ามณฑลหูเป่ยเริ่มเข้าสู่โหมดการปลดล็อก(解禁:Jie Jin) ข่าวการกลับบ้านของทีมแพทย์เป็นข่าวใหญ่ในจีนติดต่อกันหลายวัน รัฐบาลท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ของจีนได้เนรมิตให้การส่งหน่วยแพทย์ออกจากอู่ฮั่นและการต้อนรับหน่วยแพทย์กลับบ้าน เป็นไปอย่าง “สมเกียรติและอบอุ่น” ทุกคนหลั่งน้ำตาจากความภาคภูมิใจในชัยชนะ ทีมแพทย์พยาบาลเหล่านี้มาจากทุกสารทิศ พยาบาลหลายคนเมื่อเริ่มต้นปกปิดครอบครัวตัวเอง ลงชื่อเพื่อมาเป็นหนึ่งในทีมอาสาสมัครสู้โควิดในอู่ฮั่น พวกเขาลงไปอยู่ที่อู่ฮั่นส่วนใหญ่ประมาณหนึ่งเดือนเศษถึงสองเดือน
ทีมแพทย์ทุกทีมต่างมุ่งมั่นและมีเป้าหมายที่จะพาอู่ฮั่นฝ่าวิกฤติ หลายทีมได้บรรลุเป้าหมายนี้ จนถึงวันที่ 24 มีนาคม รัฐบาลได้ออกประกาศอนุญาตให้เมืองต่าง ๆ ในมณฑลหูเป่ย(เว้นอู่ฮั่น) เปิดเมืองให้ประชาชนเข้าออกได้ ส่วนอู่ฮั่นจะเริ่มเปิดเมืองอย่างเป็นทางการวันที่ 8 เม.ย. เป็นต้นไป
ทีมแพทย์และพยาบาลทั้งหลายที่กระจายตัวไปปฎิบัติงานเป็นผู้เสี่ยงภัยแนวหน้าในอู่ฮั่นและหูเป่ย ทำงานกันหนักหน่วงเปรียบเสมือนอยู่ในสนามรบ พวกเขาถูกขนานนามว่า “逆行者” (Ni Xing Zhe) แปลตรงตัวได้ว่า "ผู้ทวนกระแส" นัยยะก็คือการแสดงความเคารพและซูฮกให้กับคนกลุ่มนี้ที่เสียสละเพื่อส่วนรวมนั่นเอง
ย้อนรอยเรื่องราวแรกเป็นของ "นายแพทย์จางป๋อหลี่" ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงแพทย์แผนจีนแห่งชาติจีน เป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบแผนจีนและแบบแผนปัจจุบันผสมผสาน มีบทบาทตั้งแต่ครั้งที่จีนต่อสู้กับ SARs ในขณะนั้นจีนได้นำยาจีนเข้ามาใช้ผสมผสานในการรักษาแล้ว นายแพทย์จางป๋อหลี่ปีนี้อายุ 72 ปีตั้งแต่ปลายม.ค. ได้นำทัพทีมแพทย์แผนจีนลงพื้นที่หูเป่ยและอู่ฮั่น 50 กว่าวัน จนภารกิจเสร็จสิ้น นายแพทย์จางป๋อหลี่ก็ได้ปฎิบัติงานดั่งเช่นแพทย์อายุน้อยคนอื่น ๆ ที่ออกไปอยู่แนวหน้าสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง
นายแพทย์จางป๋อหลี่ ถูกสัมภาษณ์ในรายการ Mian Dui Mian(面对面)โดยพิธีกรชื่อดังจีน เมื่อเริ่มต้นในการสัมภาษณ์พิธีกรถามนายแพทย์จางป๋อหลี่ว่า “เมื่อท่านได้รับโทรศัพท์ให้ออกเดินทางไปอู่ฮั่นในทันที ท่านคิดอะไรอยู่”
นายแพทย์จางป๋อหลี่ตอบว่า “ตอนนั้นคิดว่าสถานการณ์ที่อู่ฮั่นน่าจะไม่ดี อีกทั้งคณะทำงานของรัฐบาลโทรมาแจ้งแสดงว่ามีความไว้วางใจให้กัน ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วทีนี้ผมได้ถามว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ทางนั้นบอกมาว่าไม่ทราบ แล้วผมก็ถามอีกว่าต้องไปอู่ฮั่นนานแค่ไหน ทางนั้นตอบมาว่าอาจจะ 3 เดือนอย่างน้อย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นายแพทย์จางป๋อหลี่ เก็บน้ำตาไม่อยู่ แล้วได้เล่าต่อว่า “เมื่อไปถึงอู่ฮั่นภาพที่เห็นในโรงพยาบาลคือชุลมุนวุ่นวายมาก โดยเฉพาะแผนกตรวจผู้ป่วยที่มีไข้ เข้าแถวกันยาวเหยียด คนหลายประเภทรวมตัวกันอยู่ด้วยกันหมด ทั้งคนไข้ ญาติที่มาด้วย แน่นกันไปหมด มีหลายเคสติดกันไปมาในโรงพยาบาลซึ่งอันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
หลังจากนั้นทางการให้มีการแยกประเภทผู้ป่วยออกอย่างชัดเจน และเอายาจีนเข้ามาผสมผสานในการรักษาอาการของคนไข้อาการเบา ผลที่ได้คือส่วนมากดีขึ้น ซึ่งในวินาทีนั้นคนไข้ที่ได้รับยาจีนนอกจากความกดดันทางจิตใจได้บรรเทาลงแล้ว หลายคนก็มีอาการดีขึ้น ไข้ลดเป็นลำดับ คนที่ผลตรวจออกมาเป็นบวกก็ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลเฉพาะต่อไป ขั้นตอนการแยกประเภทผู้ป่วยและขั้นตอนการรักษาเริ่มเป็นระบบตามลำดับ
นายแพทย์จางป๋อหลี่ ในระหว่างปฎิบัติงานที่อู่ฮั่นเกิดอาการโรคประจำตัวกำเริบและต้องผ่าตัดด่วน โดยนายแพทย์ก็ได้รับการผ่าตัดรักษาทันที แต่พักฟื้นได้ไม่นานก็กลับมาทำงานแนวหน้าใหม่ภายใต้การคัดค้านของทีมแพทย์คนอื่น ๆ นายแพทย์จางป๋อหลี่ออกมาทำงานแนวหน้าอย่างหนักหน่วงในวัย 72 ปี ความเสียสละและสปิริตของท่าน เป็นแบบอย่างให้ทีมแพทย์และเป็นที่ยกย่องของประชาชน
อย่างที่ทุกท่านอาจจะเคยเห็นในภาพที่เผยแพร่ไปในข่าวและโซเซียล หมอและพยาบาลจีนที่ปฎิบัติงานสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงต้องใส่ชุดป้องกันอย่างหนาแน่นและหลายชั้นเลยทีเดียว แต่ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าแพทย์จีนต้องใช้เวลาใส่ชุดและถอดชุดประมาณครั้งละครึ่งชั่วโมง เพราะฉะนั้นแพทย์และพยาบาลที่ต้องปฎิบัติงานดูแลผู้ป่วยนาน ๆ ครั้งละหลายชั่วโมงส่วนใหญ่จะใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่กัน
ทีมแพทย์หลายคนเลือกที่จะไม่กินไม่ดื่มในระหว่างปฎิบัติงานเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเข้าห้องน้ำ ชุดป้องกันแบบหลายชั้นนี้แพทย์และพยาบาลพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้อนและอึดอัด ใส่ได้ไม่นานเหงื่อจะท่วมทั้งตัว หายใจไม่สะดวกทำให้บางทีเกิดอาการเวียนหัวจากการขาดอากาศ ทั้งนี้ทั้งนั้นชุดป้องกันที่หนาแน่นนี้เป็นอุปสรรคในการทำงานอย่างมากแต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ภายใต้สภาพเช่นนี้ทีมแพทย์ต้องทำงานกันอย่างหนักหน่วงพยาบาลและแพทย์หนึ่งเฉลี่ยดูแลคนไข้ 10-20 กว่าคนขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนไข้อาการเบาหรืออาการหนัก เวลาเฉลี่ยในการผลัดเวรของทีมแพทย์เฉลี่ย 6 ชั่วโมง
“疫情是命令,防控是责任”(Yi Qing Shi Ming Ling,Fang Kong Shi Ze Ren)เป็นคำขวัญดังของจีนในช่วงการประกาศสงครามกับโควิดนี้ เราจะเห็นคำขวัญนี้ในทุกที่ แปลตรงตัวได้ว่า "โรคระบาดคือคำสั่ง การป้องกันคือความรับผิดชอบ" หมายถึงโรคระบาดที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนคำสั่งที่ทุกคนต้องปฎิบัติและตามต่อสู้กับมัน การป้องกันคือความรับผิดชอบของทุกคน ทีมแพทย์พยาบาลจีนและประชาชนจดจำคำขวัญนี้จนขึ้นใจ
ผู้อ่านทราบหรือไม่ว่านอกจากทีมแพทย์รักษาร่างกายแล้ว ยังมีทีมจิตแพทย์ด้วย ทีมจิตแพทย์นอกจากทำหน้าที่ดูแลจิตใจของผู้ป่วยแล้ว แพทย์และพยาบาลยังต้องการมีจิตแพทย์ดูแลเช่นกัน การทำงานภายใต้ภาวะกดดัน เห็นความสูญเสียเกิดขึ้นมีอยู่เกือบทุกวัน ผู้ป่วยที่ดูแลไปมาก็เกิดความใกล้ชิดรู้สึกเหมือนญาติแท้ ๆ พยาบาลบางท่านสูญเสียผู้ป่วยอาการหนักที่ตัวเองดูแลไป เกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็มีอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นทีมแพทย์เองก็ต้องการมีจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษาและพูดคุยระบายทุกข์เช่นกัน จากตัวเลขของทางการเดือนกุมภาพันธ์ แพทย์พยาบาลทั่วประเทศติดเชื้อในระหว่างปฎิบัติงานกว่า 3,000 ราย ส่วนตัวเลขการเสียชีวิตยังไม่มีตัวเลขออกมาแน่ชัด
ความเสียสละที่ทีมแพทย์มีให้กับประชาชนและประเทศชาติเป็นสิ่งที่ประเมินคุณค่าไม่ได้ ทำให้รัฐบาลและประชาชนจีนให้ความยกย่องกับบุคคลกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาคือฮีโร่ในใจของผู้คนจีนทั้งประเทศอย่างแท้จริง