โฆษก ศบค. แถลงดีใจตัวเลขหายป่วยมากกว่าติดเชื้อรายวัน ยันรองรับสถานการณ์เลวร้ายได้ ย้ำ การ์ดห้ามตก ต้องร่วมมือ 90% ต่อไป ลั่นยึดมาตรการเข้มที่สุด นายกฯ เผย ตั้ง สธ.เพิ่มใน กก.จัดซื้อพัสดุภัณฑ์ แนะนักดื่มลงแดงพบแพทย์ มียาช่วย
วันนี้ (13 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบา ดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า ในที่ประชุม ศบค.เมื่อเวลา 10.00 น. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานมากล่าวกับที่ประชุม ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ วันนี้ถือเป็นข่าวดีที่ตัวเลขลดลงมาต่อเนื่อง เพียง 28 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยรายใหม่ที่กลับมาจากอินโดนีเซีย 3 ราย อยู่ที่ จ.สตูล 2 ราย และยะลา 2 ราย ส่วนยอดผู้ป่วยสะสม 2,579 ราย มีผู้หายป่วยเดินทางกลับบ้านแล้ว 1,288 ราย ขณะนี้มีผู้หายป่วยกลับบ้านมากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ ทำให้เตียงเพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย เสียชีวิตสะสม 40 ราย รายที่ 39 เป็นชายไทย อายุ 56 ปี มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ มีอาการป่วยเมื่อวันที่ 7 ม.ค. เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนใน จ.สมุทรปราการ วันที่ 14 มี.ค. มีอาการไข้ 38 หายใจหอบเหนื่อย แพทย์สงสัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงส่งตรวจไข้หวัดใหญ่เอและบี รวมทั้งโควิด-19 ซึ่งผลตรวจไข้หวัดใหญ่เป็นลบ แต่ยืนยันเป็นโควิด-19 ต่อมาวันที่ 23 มี.ค.มีอาการเหนื่อยหอบมากขึ้น ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตวันที่ 12 เม.ย. และรายที่ 40 เป็นชายไทย 43 ปี เป็นพนักงานบริษัท มีโรคประจำตัวเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง ไขมันในเลือดสูง เริ่มป่วยวันที่ 23 มี.ค.มีอาการไข้สูง 39.4 ไอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อย ถ่ายเหลว จากนั้นวันที่ 31 มี.ค.เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนใน กทม. แพทย์รักษาแล้วให้กลับบ้าน แต่วันที่ 5 เม.ย.อาการไม่ดีขึ้น เข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งเดิม แพทย์วินิจฉัยพบปอดติดเชื้อ และตรวจพบเชื้อโควิด-19 ต่อมาวันที่ 9 เม.ย.อาการแย่ลง หอบเหนื่อยมากขึ้น ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดลง หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตวันที่ 11 เม.ย.ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว จะเห็นว่าผู้ป่วยเสียชีวิตทั้งสองรายอายุไม่ถึง 60 ปี เราจึงจำเป็นต้องรวบรวมรายละเอียดคนกลุ่มนี้มาบอกให้ประชาชนรับทราบ เพื่อที่จะเรียนรู้อาการต่างๆ เป็นอย่างไร และเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับยอดป่วยสะสมทั่วประเทศ กทม.ยังถึง 1,306 ราย ภูเก็ต 182 ราย นนทบุรี 150 ราย และยะลา 84 ราย มีผู้สอบถามมายังตนถ้าอยากบริจาคช่วยเหลือควรไปที่ไหน ก็ขอให้ดูตัวเลขจังหวัดไหนผู้ป่วยสะสมสูงก็ให้ไปบริจาคที่จังหวัดนั้น เพราะยังต้องการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมาก และถ้าดูยอดผู้ป่วยต่อจำนวนประชากรในจังหวัดสูงที่สุดยังเป็น จ.ภูเก็ต เราจึงต้องดูมาตรการของ จ.ภูเก็ตในการแก้ปัญหา จะพบว่าผู้ป่วยเกินร้อยละ 50 มีอาการเกิน 3 วันแล้วจึงไปตรวจโควิด-19 ทำให้การแพร่กระจายเชื้อสูง แต่ตัวผู้ป่วยรายใหม่ที่ จ.ภูเก็ต วันนี้มีเพียง 6 คน แนวโน้มผู้ป่วยใหม่ค่อยๆ ลดลง เราจึงต้องนำบทเรียนจังหวัดดังกล่าวมาเรียนรู้จะพบว่า ต้องติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยให้ครบถ้วน และต้องกักกันตัวในสถานที่ของรัฐ 100% เพราะจะเห็นว่าหากยังกักตัวที่บ้านตัวเองจะยังพบผู้ป่วยต่อเนื่อง ซึ่งการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในพื้นที่เจาะจงจะได้ประสิทธิภาพมากกว่าหว่านตรวจประชากรทั้งจังหวัด อย่างที่ จ.ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 5-10 เม.ย. ที่โรงพยาบาลป่าตอง ตรวจ 1,712 ราย พบผู้ติดเชื้อ 9 คน โรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต ตรวจ 763 ราย พบผู้ติดเชื้อ 2 ราย โรงพยาบาลถลาง ตรวจ 337 ราย ไม่พบผู้ติดเชื้อเลย แต่ที่ รพ.สต.เชิงทะเล ตรวจแค่ 103 ราย แต่เจอ 5 ราย จึงทำให้เห็นการตรวจในพื้นที่เฉพาะเจาะจงจะทำให้ได้ผลมากกว่า ดังนั้น ที่ว่าประเทศไทยตรวจน้อยเลยพบน้อยนั้น ขอให้ดูกรณี จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นคำตอบให้กับคำถามดังกล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่มีการถามว่าขณะนี้สถานการณ์ในประเทศไทยไว้วางใจได้หรือยังหลังตัวเลขผู้ป่วยรายวันลดลงนั้น ขอให้ดูประเทศญี่ปุ่นที่นิ่งๆ ทรงๆ แต่อยู่ๆ ก็กลับขึ้นมาสูงอีก ถือว่าน่ากังวลว่ามันจะขึ้นมากว่านี้อีกหรือไม่ และที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งพบผู้ป่วยรายแรกในปลายเดือน ม.ค. เพียงเดือนเศษก็สามารถกระโดดขึ้นมาเป็น 180 คนได้ ดังนั้น ตัวเลขของเราที่อยู่ที่ 28 คนวันนี้ก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้อีก จึงไม่อยากให้นิ่งนอนใจ ส่วนที่มีคำถามอีกว่าจะผ่อนคลายมาตรการลงได้และการทำงานที่บ้านยังจำเป็นอยู่หรือไม่นั้น ยังไม่อยากผ่อนคลายกันมาก พอเห็นตัวเลขแล้วดีใจ กลับไปทำตัวปกติ ซึ่งไม่ดีเลย เพราะแม้ในประเทศเราจะควบคุมดูแลล้อมรั้วกันอย่างดี แต่สถานการณ์ต่างประเทศตัวเลขยังเป็นสีแดงกันอยู่ สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเลย เราอยู่ในแวดล้อมของสถานการณ์การติดเชื้อของทั่วโลกที่สูงขึ้น มีแต่บ้านเราเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ เพราะเราเข้มแข็งและช่วยกัน การร่วมกัน 70-80% ไม่สามารถทำให้ตัวเลขลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าจะลดลงต่อเนื่องประชาชนต้องร่วมกัน 90% ขึ้นไป ถ้าการ์ดเราตกลงมาก็จะเกิดปัญหา ดังนั้น ทุกคนต้องเป็นแนวร่วม ต้องช่วยกันยาวไปถึงกลางเดือน สิ้นเดือน และต้นเดือนหน้า ตามที่มีการพยากรณ์ว่าโรคนี้จะอยู่กับเรา 3-4 เดือน
“ถ้าบางพื้นที่ไม่มีการติดเชื้อการผ่อนคลายในระดับจังหวัดและภาคอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่อย่าเอาสาระที่ผม ต้องเอาสารที่คณะกรรมการวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งมีการวางแผนเรื่องนี้ และพูดคุยกันให้รอบด้านแล้วจึงอาจมีการผ่อนคลาย แต่ยังไม่รู้ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ตัวเลข 28 รายในวันนี้เป็นผลจากพฤติกรรม 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ วันนี้เพิ่งเข้าเทศกาลสงกรานต์ประชาชนยังต้องปรับตัวเรื่องชุดพฤติกรรม ถ้าผ่อนคลายวันนี้จะไปส่งผลเป็นตัวเลข 5-7 วันข้างหน้า ดังนั้น การ์ดเราจะตกไม่ได้ ขอทุกท่านร่วมมือร่วมใจ 90% ต่อไปเรื่อยๆ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนผลการปฏิบัติงานของฝ่ายคามมั่นคงช่วงเคอร์ฟิวคืนวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ต่อเนื่องเช้าวันที่ 13 เม.ย.มีผู้ออกนอกเคหสถาน 820 คน ลดจากคืนก่อน 108 คน ผู้รวมกลุ่มชุมนุมมั่วสุม 135 คนมากกว่าคืนก่อน 79 คน จึงขอร้องอย่ารวมกลุ่มมั่วสุม เพราะเสี่ยงต่อการติดโรค การถูกดำเนินคดีไม่สำคัญเท่ากับการติดโรค และที่มีคำถามว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์บางคนซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาไว้แล้วนั้น จะรวมกลุ่มสังสรรค์ในช่วงกลางวันนอกเวลาเคอร์ฟิวได้หรือไม่ ขอตอบว่าทำไม่ได้ไม่ว่าช่วงเวลาไหน เพราะเจตนาของกฎหมายคือไม่ต้องการให้มีการร่วมกลุ่มกันเพราะอาจติดโรคได้ การดื่มหรือเสพมีความเสี่ยงทั้งสิ้น จึงขอให้ลด ละ เลิก อย่างไรก็ตาม เรื่องสุราถือเป็นเรื่องใหญ่ ในฐานะนักจิตแพทย์ หลายคนดื่มสุรามายาวนาน พอต้องหยุดดื่มจะเกิดอาการลงแดง มือสั่น หูแว่ว ประสาทหลอน หากใครมีอาการนี้ให้รีบไปพบแพทย์ไว้ก่อน เราจะมียากล่อมประสาทหรือคลายความเครียดที่ช่วยทดแทนการดื่มได้ ทำให้อาการนั้นน้อยลง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในการประชุม ศบค.วันเดียวกันนี้ หลังจากนายกฯอวยพรวันสงกรานต์ทุกคนแล้ว มีการพูดถึงการควบคุมโรคโควิด-19 ให้สอดคล้องไปถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะเชื่อมโยงกัน ต้องพยากรณ์ตัวเลขจีดีพีว่าจะกระทบอย่างไรแล้วหามาตรการเยียวยาให้ครอบคลุมครบทุกกลุ่ม ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการต่างๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะการดูแลเวชภัณฑ์ และกรณีที่นายกฯไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่จุดกักตัวของรัฐนั้น ยังฝากไปยังผู้บริหารหน่วยงานราชการจะต้องไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจด้วย เพราะโรงแรมต่างๆ ที่เข้ามาเป็นแนวร่วมเราต้องหาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเอกชนตรงนี้มีความสำคัญที่จะรองรับคนไทยที่จะกลับมา จะต้องใช้ให้สอดคล้องกับงบประมาณภาครัฐจึงให้ไปดูงบประมาณค่าใช้จ่ายว่าต้องใช้เท่าไหร่อย่างไร นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีรายงานมาตรการต่างๆ อาทิ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รายงานถึงมาตรการจัดการจำนวนเตียง เวชภัณฑ์ ว่าขณะนี้มีพียงพอในการรองรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แม้ตัวเลขผู้ป่วยที่ประเมินว่าเลวร้ายที่สุดจะมีถึงหลักแสน เรารองรับได้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) รายงานมาตรการด้านความมั่นคง ว่าจุดตรวจต่างๆเป็นไปอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการส่งเครื่องบินไปรับสารคัดหลั่งที่ จ.ภูเก็ต เพื่อมาตรวจที่กทม.ซึ่งมีศักยภาพมากกว่า ขณะที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศรายงานการดูแลคนเดินทางเข้า-ออกนอกประเทศ ว่า จะทยอยนำคนไทยกลับมาโดยไม่ให้แพร่กระจายเชื้อรวมถึงดูแลแรงงานข้ามแดน ซึ่งประสานประเทศปลายทางชะลอการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้านที่อยู่ที่ด่านหลักหมื่นคนก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแล้ว รวมถึงให้เข้มงวดการเดินทางข้ามแดนทางด่านธรรมชาติด้วย ส่วนการควบคุมราคาสินค้า ปลัดกระทรวงการพาณิชย์ รายงานว่า สินค้าทุกอย่างเพียงพอ ไข่ไก่ที่ราคาสูงขึ้นก่อนหน้านี้ก็ลดลงมาแล้ว จะมีเพียงปัญหาด้านการขนส่งในบางพื้นที่ที่อาจล่าช้าเท่านั้น ขณะที่การขนส่งปลัดกระทรวงคมนาคม รายงานว่า ได้ทำความสะอาดช่องทางการขนส่งสาธารณะตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนการขนส่งทางอากาศมีการปิดสนามบินไปแล้ว 16 แห่ง เปิดให้บริการเพียง 12 แห่ง อย่างไรก็ตามมาตรการต่างๆจะมีการปรับลดหรือเข้มงวดขึ้นอยู่กับตัวเลขผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า คณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ที่ตั้งขึ้นมา มีข้อสังเกตว่า เป็นการรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง แต่ไม่มีตัวแทนจาก สธ. จะส่งผลต่อการจัดหาอุปกรณ์หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นายกฯแจ้งในที่ประชุมแล้วว่า จะมีรายชื่อของ สธ.เพิ่มเติมเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการชุดดังกล่าวด้วย เพื่อบูรณาการงานด้านนี้ให้มีความเรียบร้อย และมีความคล่องตัว
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าในบางพื้นที่จะให้ร้านตัดผมและเสริมสวยเปิดได้ในวันที่ 16 เม.ย. นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ตนขอตรวจสอบก่อน เพราะเรามีคำสั่งจากส่วนกลางว่าถ้าส่วนกลางมีมาตรการเข้มกว่าในส่วนของต่างจังหวัดต้องยึดตามส่วนกลาง แต่ถ้าส่วนกลางไม่ได้กำหนดไว้แล้วต่างจังหวัดจะเข้มกว่าสามารถทำได้ แต่อ่อนกว่าไม่ได้ จึงขอให้ระมัดระวังกันสักนิด เรื่องการตัดผมเป็นกิจกรรมที่ใกล้ชิดกันมาก มีโอกาสจะปนเปื้อนกับเชื้อโรคถ้าทำความสะอาดไม่ดี หรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน ขอให้ปรับตัวสักหน่อยเดี๋ยวคงจะมีมาตรการผ่อนคลายขึ้นมาหากสถานการณ์ดีขึ้น