เมื่อโลกยังเผชิญกับการระบาดรุนแรงของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับ 2 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 1.3 แสนราย ประชากรโลกทั้งยากดีมีจนเผชิญกับความเสี่ยงภัย ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาให้หายขาด ก็ต้องรับสภาพและป้องกันตนเอง
ความทุกข์จากการระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากผลกระทบก่อนหน้านี้จากสงครามการค้า ซึ่งทำให้สถานภาพของประเทศ องค์กร บริษัท และบุคคลอ่อนแอลงในความมั่นคงด้านรายได้ คุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
คนอเมริกันน่าจะรู้ซึ้งกว่าใคร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ว่างงานกว่า 14.5 ล้านคนซึ่งได้ยื่นขอรับสวัสดิการจากรัฐ และยังจะมีผู้ว่างงานมากถึง 24.5 ล้านคนในอีกไม่ถึง 2 เดือนข้างหน้า องค์กรธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะสายป่านยาวแค่ไหน ก็เสี่ยงที่จะมีวิกฤตถึงขั้นล้มได้
ธนาคารที่มั่นคงอย่าง เจพีมอร์แกน เชส รายงานว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกมีกำไรลดลง 70 เปอร์เซ็นต์ คงคาดเดาไม่ยากว่าถ้าโลกยังแทบหยุดนิ่งอย่างทุกวันนี้จะมีบริษัทต่างๆ กี่รายต้องล้มหายตายจาก คนทั่วโลกต้องขาดรายได้ อดอยากแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้บางประเทศในยุโรป เช่น สเปน เยอรมนี กำลังพิจารณาว่าจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ให้ธุรกิจบางประเภทได้เปิดทำการตามปกติเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องลำบาก แต่ก็มีคำเตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะทำอย่างนั้นเพราะการระบาดไร้พรมแดน
ที่ต้องทำเพราะเป็นห่วงว่าถ้าทิ้งช่วงนานไป เศรษฐกิจจะเสียหายขั้นวิกฤต แต่ทั่วโลกก็เป็นเหมือนกัน เว้นแต่ว่าใครแข็งแกร่ง ระดับของการระบาด คนตายมากหรือไม่
โดยเฉพาะในสวีเดน ซึ่งไม่มีมาตรการเข้มควบคุม ชาวสวีเดนยังใช้ชีวิตตามปกติ ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ ร้านต่างๆ ยังเปิด ผู้คนไม่สวมหน้ากากอนามัย ใครสวมถือเป็นเรื่องแปลก ทั้งนี้ต้องการให้การระบาดมีคนติดเชื้อและสร้างภูมิต้านทานได้ในที่สุด
กว่าจะถึงขั้นนั้น ซึ่งยังไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดขึ้น คนสวีเดนก็ติดเชื้อมากกว่า 1.1 หมื่นราย เสียชีวิตแล้วกว่า 1.1 พันราย แต่ละวันคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 500 ราย แต่คนในรัฐบาลยังเสียงแข็ง ประชาชนทั่วไปก็ยังไม่สำเหนียกถึงอันตราย
สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในวิกฤตสาหัสกว่าประเทศอื่น คำประกาศของผู้นำ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” ยังขลังมาก ไม่มีใครท้าทายได้ เพราะมีคนติดเชื้อมากกว่า 6 แสนคน ตายแล้วกว่า 2.6 หมื่น และแรงยังดีไม่มีตก ทางออกยังไม่มี
ปัญหาใหญ่ของสหรัฐฯ ที่คนอเมริกันส่วนหนึ่งติดตามข่าวสารเหตุการณ์ รับรู้และยอมรับว่า “ผู้นำทำเนียบขาว” คือตัวปัญหาแท้จริง นับตั้งแต่ “มนุษย์ทรัมป์” ได้เปิดฉากสงครามการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้า คู่แค้นหลัก สร้างความยุ่งยากทั่วโลก
ความอหังการ ดื้อรั้น ไม่ฟังใคร ไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมรับผิดชอบความเสียหายที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ ทำให้ดูเหมือนว่าคนอเมริกันส่วนหนึ่งยอมรับในใจว่าผู้นำคือตัวปัญหาและยังจะสร้างความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสภาพความเป็นผู้นำของโลก
แต่ไม่มีใครอยากประกาศตัวเป็นศัตรูกับทรัมป์ อาจเพียงแต่มองด้วยความสะใจ
“มนุษย์ทรัมป์” ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างสหรัฐฯ กับองค์กรสนธิสัญญานาโต ปัญหาเศรษฐกิจกับประชาคมยุโรป เพื่อนบ้านทั้งแคนาดา และเม็กซิโก แปรสภาพมิตรให้เป็นคนไม่ชอบหน้ากัน แม้ไม่ถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์ มีเพื่อนซี้คนเดียวคือ “อังกฤษ”
เป็น “อังกฤษ” ที่มีผู้นำเหมือนแฝดคนละฝากับทรัมป์ คือ “บอริส จอห์นสัน” ซึ่งเฉียดตายจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสถึงขนาดที่เจ้าตัวยอมรับว่า “มีโอกาสเป็นหรือตายเท่ากัน” หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วยังต้องพักฟื้นเพื่อให้มั่นใจว่าหายขาดแน่
วิกฤตติดเชื้อครั้งนี้ทำให้ทรัมป์เสียหน้าถึงขั้นธาตุไฟรวน สติแตก เพราะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ผู้ว่าการรัฐต่างๆ พยายามจัดการปัญหาด้วยตัวเอง แต่ละรัฐก็มีผู้ว่าฯ พรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ความคิด แนวทางต่างกัน ต้องฟังประชาชนด้วย
ทรัมป์โมโหอย่างรุนแรงช่วงหนึ่ง ประกาศว่าตัวเอง “มีอำนาจสูงสุด” เหนือทุกคนในประเทศ เพียงแต่ยังไม่บอกว่าเหนือทุกคนในโลกเท่านั้น แต่ยังมีคนค้านเสียงดังว่า “ไม่จริง” ทรัมป์คิดเอาเอง เว้นแต่ว่าทรัมป์คิดว่าตัวเองเป็น “กษัตริย์” ซึ่งจะมีอำนาจสูงสุด
คนที่ค้านเสียงดังคือ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แอนดรูว์ คูโอโม ซึ่งรับปัญหาหนักที่สุดในบรรดา 50 รัฐบนแผ่นดินใหญ่ มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 1 แสน คนตายมากกว่า 1 หมื่นราย และคูโอโมบอกว่า “ทรัมป์” ไม่ได้เป็นกษัตริย์ เป็นเพียงประธานาธิบดี มีคนเลือกเข้ามา
หลังจากเป็นเรื่องใหญ่อยู่ 2-3 วัน “มนุษย์ทรัมป์” เสียงอ่อย ยอมรับว่าผู้ว่าฯ แต่ละรัฐมีอำนาจเรื่องมาตรการว่าจะคุมเข้มหรือผ่อนปรนตามสภาพของการระบาด
ล่าสุด “มนุษย์ทรัมป์” ก่อเรื่องใหม่ ประกาศจะตัดเงินสมทบช่วยเหลือองค์การอนามัยโลก อ้างว่ามีความบกพร่อง รับกับวิกฤตการระบาดช้าเกินไป และผ่อนปรนกับสถานการณ์ในประเทศจีนช้าเกินไป ในช่วงที่จีนมีการระบาดถึงขั้นปิดเมืองอู่ฮั่น
ทรัมป์มีปัญหากับองค์กรต่างๆ ภายใต้ยูเอ็น เช่น ยูเนสโก และองค์การการค้าโลก
ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามุ่งแต่โทษคนอื่น ขณะที่ก่อนจะเล่นงานองค์การอนามัยโลกก็โดนหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เปิดโปงเป็นฉากๆ ว่าทรัมป์ได้ละเลยเพิกเฉยกับการระบาดอย่างไร แม้จะมีการเตือนซ้ำซากจากที่ปรึกษา แพทย์ และผู้ว่ารัฐต่างๆ
ผู้สื่อข่าวไล่บี้ทรัมป์อย่างหนักช่วงแถลงข่าวว่าทรัมป์ได้ปล่อยให้เดือนกุมภาพันธ์ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรในการป้องกัน ทำให้ทรัมป์โมโหผู้สื่อข่าว หาว่าเป็นคนจ้องทำลาย คราวนี้การตัดเงินช่วยเหลือองค์การอนามัยโลก มีแต่จะทำให้องค์กรนี้ขาดเงินสนับสนุน
รอดูว่าชาติอื่นๆ จะลงขันช่วยเหลือองค์กรนี้ในยามวิกฤต ตบหน้าทรัมป์หรือไม่!