เอเอฟพี/รอยเตอร์ - รัฐบาลสหราชอาณาจักรในวันจันทร์ (13 เม.ย.) เตือนคงไม่สามารถยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเร็วๆ นี้ หลังข้อมูลชี้ยังไม่ถึงจุดพีคของการแพร่ระบาด แม้โควิด-19 คร่าชีวิตทะลุ 11,000 ศพ สถานการณ์สวนทางกับยักษ์ใหญ่ในยุโรปชาติอื่นๆ โดยอิตาลี จำนวนผู้ป่วยหนักลดลง 10 วันติด เช่นเดียวกับฝรั่งเศส ที่คนไข้ในห้องไอซียู ลดลง 5 วันติดต่อกัน
โดมินิก ราบ รัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ที่เพิ่งหายป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 บอกว่าพอมีสัญญาณในแง่บวกอยู่บ้างในพัฒนาการของสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนระหว่างแถลงสรุปประจำวันว่า “เรายังไม่ผ่านพ้นจุดพีกของไวรัส”
คณะรัฐมนตรีมีกำหนดตัดสินในวันพฤหัสบดี (16 เม.ย.) ว่าจะคงมาตรการล็อกดาวน์ 3 สัปดาห์ต่อไปหรือไม่ โดยกฎระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้ปิดโรงเรียนและร้านค้าต่างๆ พร้อมสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านในความพยายามสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม ราบยอมรับว่า “เราไม่คาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงๆ ในมาตรการปัจจุบันที่บังคับใช้อยู่ และเราจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ จนกว่าเราจะมั่นใจจริงๆว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ นั้นสามารถกระทำได้อย่างปลอดภัย” เขากล่าว “หากเราผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เร็วเกินไป เราเสี่ยงเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสระลอกสอง”
จากข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาในวันจันทร์ (13 เม.ย.) พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม 717 คน ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมในสหราชอาณาจักร อยู่ที่ 11,329 คน กลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หนักหน่วงที่สุดชาติหนึ่งในยุโรป
ยอดรวมผู้เสียชีวิตในสหราชอาณาจักรนับว่ามากที่สุดอันดับ 5 ของโลก และที่ปรึกษาระดับอาวุโสด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล เตือนว่า ประเทศแห่งนี้เสี่ยงกลายเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในยุโรปในไม่ช้า หลังจากล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 4,342 คน สูงกว่าชาติไหนๆ ในยุโรปในวันเดียวกัน ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 88,621 คน
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากว่าข้อมูลของสหราชอาณาจักรดูจะสวนทางกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ ในยุโรปในระยะหลัง ด้วยล่าสุดแม้ในอิตาลี ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจะทะลุ 20,000 คนแล้วในวันจันทร์ (13 เม.ย.) แต่จำนวนคนไข้ที่อาการสาหัสก็ลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แล้ว
สำนักงานป้องกันพลเรือนของอิตาลี รายงานพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 566 คนในวันจันทร์ (13 เม.ย.) ส่งผลให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 20,465 คน สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม จำนวนคนไข้ที่นอนรักษาตัวในห้องไอซียูลดลงจากช่วงพีคสุด 4,068 คนในวันที่ 3 เมษายน เหลือ 3,260 คนในวันจันทร์ (13 เม.ย.) ยืนยันถึงแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยทั่วไปของสถานการณ์โควิด-19 ในอิตาลี
นอกจากนี้แล้วยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่ 3,153 คน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราเพียงแค่ 2% นับเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดตั้งแต่มีการแพร่ระบาด
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อิตาลีขยายมาตรการล็อกดาวย์ประเทศไปจนถึง 3 พฤษภาคม ความเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะแพทย์ แต่ถูกคัดค้านจากภาคธุรกิจที่คร่ำครวญถึงความสามารถในการอยู่รอดหากว่าต้องปิดกิจการต่อไปอีก 3 สัปดาห์
อิตาลีจะทดลองเปิดร้านขายหนังสือและร้านซักรีดบางแห่งในวันอังคาร (14 เม.ย.) เพื่อดูว่าจะมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน
ด้านฝรั่งเศสในวันจันทร์ (13 เม.ย.) รายงานพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 574 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แบ่งเป็น 335 คนในโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นจาก 315 คนของหนึ่งวันก่อนหน้านี้ และ 239 คนตามบ้านพักคนชรา จากการเผยของกระทรวงสาธารณสุข ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมเป็น 14,967 คน
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยในห้องไอซียูลดลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยในวันจันทร์ (13 เม.ย.) มีคนไข้อาการสาหัสเหลือ 6,821 คน ลดลงจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ 24 คน
ไม่นานหลังจากข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง แถลงขยายมาตรการล็อกดาวน์ประเทศต่อสู้กับโควิด-19 ออกไปจนถึง 11 พฤษภาคม โดยถึงตอนนี้จะเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ หากว่าการแพร่ระบาดชะลอตัวลง
มาครงบอกว่า โรงเรียนต่างๆ จะกลับมาเปิดการเรียนการสอนในวันที่ 11 พฤษภาคม แต่ร้านอาหารและคาเฟ่จะยังต้องปิดบริการต่อไป ส่วนแนวชายแดนต่างๆ กับประเทศนอกยุโรปก็จะถูกปิดไปจนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม “วันที่ 11 พฤษภาคม จะเป็นการเริ่มขั้นใหม่ มันจะเป็นการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและกฎระเบียบต่างๆ จะถูกปรับเปลี่ยนตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น”