เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ยังคงท้าทายความสามารถของมนุษยชาติด้วยการระบาดติดเชื้อคนทั่วโลกเกือบจะถึง 2 ล้านคนภายในเวลาไม่ถึง 5 เดือน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 1 แสนคน กล่าวได้ว่าแทบไม่มีดินแดนไหนที่เชื้อโรคนี้จะเข้าไปไม่ถึง
บางประเทศเช่นจีนซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด และคนติดเชื้อกว่า 8.2 หมื่นราย เสียชีวิตกว่า 3.3 พันราย จะเอาอยู่ในรอบแรกแล้ว ก็ยังไม่วางใจเพราะยังมีความเสี่ยงจะเกิดการระบาดอีกระลอกจากผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ
แต่ก็คือถือว่าอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้ รัฐบาลได้เปิดเมืองอู่ฮั่นและมณฑลหูเป่ย ทำให้ชีวิตคนจีนกว่า 10 ล้านคนในอู่ฮั่นได้เริ่มใช้ชีวิตตามปกติ แม้จะไม่เต็มที่ ความรู้สึกยังหวาดๆ หลังจากถูกปิดเมือง อยู่ในสภาพลำบากมากกว่า 70 วัน
ในรอบ 100 ปี นอกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ซึ่งเป็นน้ำมือของมนุษย์ฆ่าฟันกันเองด้วยอาวุธสารพัด แต่ยังไม่เคยเผชิญกับวิกฤตรุนแรงด้วยเชื้อโรค ศัตรูที่มองไม่เห็นและร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน แม้ได้พัฒนาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทุกด้าน
มนุษย์สามารถควบคุมธรรมชาติได้บางส่วน แต่กับสิ่งที่ธรรมชาติในแบบ มหาภัยล่าสุดคือเชื้อโรคที่มองไม่เห็น ได้เป็นตัวสร้างความหายนะให้คนทั้งโลกได้ ทำให้กิจกรรมต่างๆ ที่เคยกระทำแทบหยุดชะงักหมด โดยที่ยังหาจุดจบของภัยนี้ไม่ได้
เวลาผ่านไปแต่ละนาทีมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตตลอด เป็นทั้งความท้าทายและบทพิสูจน์ว่าต่อให้มนุษย์เก่งแค่ไหน ส่งจรวดไปถึงห้วงลึกข้ออวกาศก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตในโลก ก็ยังอยู่เหนือขีดความสามารถ ในการแก้ไขอย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง
การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ครั้งนี้มีทั้งความหลากหลายสายพันธุ์ และปรับตัวกลายพันธุ์ได้ตลอด แม้มนุษย์จะพยายามเร่งผลิตวัคซีนป้องกันและยารักษาได้ แต่ยังต้องใช้เวลาอีกนานหลายเดือนเพื่อให้มั่นใจว่าได้ผลเต็มที่
วิกฤตครั้งนี้ทำให้มองเห็นได้ว่าประเทศตะวันตกในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ได้เป็นแหล่งใหญ่ของการระบาด คนเสียชีวิตหลายหมื่นราย คนติดเชื้อและตายเป็นเบือ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏตั้งแต่การระบาดของไข้หวัดสเปนในปี 1918
วิกฤตครั้งนั้นต้องใช้เวลา 2 ปีกว่าจะหยุดการระบาดได้ มีผู้เสียชีวิตมาถึง 50 ล้านคนจากจำนวนผู้ติดเชื้อ 500 ล้านคนทั่วโลก แต่ครั้งนี้ตัวเลขคงจะไม่สูงระดับนั้นเพราะเทคโนโลยีได้ช่วยในด้านผลิตเวชภัณฑ์ ยาป้องกันและรักษาโรคด้วย
ที่น่าสนใจก็คือชาติต่างๆ ในยุโรป ไม่สามารถใช้ระบบที่มีอยู่ตั้งรับสถานการณ์ทั้งๆ ที่มีเวลามากมายในช่วงที่การระบาดยังอยู่ในประเทศจีนและเพื่อนบ้าน เช่นเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น คนเป็นพาหะสามารถเดินทางไปแพร่เชื้อในจุดต่างๆ ทั่วโลก
แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในซีกโลกตะวันตกดูเหมือนจะดูเบาและประเมินความรุนแรงของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับความร้ายกาจของโลกซาร์ส เมอร์ส และไข้หวัดนกซึ่งระบาดก่อนหน้านี้ แต่ไม่ยืดเยื้อ
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นตรงกันว่าอัตราการระบาดและความรุนแรงจะไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิตต่ำกว่าโรคร้ายชนิดอื่นๆ ทำให้ไม่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์
เมื่อการระบาดเกิดขึ้นในทวีปยุโรป เริ่มในอิตาลี และมีสัญญาณชัดเจนว่าจะกระจายเป็นวงกว้าง แต่ละประเทศเลือกที่จะป้องกันตนเองด้วยการใช้มาตรการปิดพรมแดนสกัดกั้นความเคลื่อนไหวของคน มากกว่าร่วมมือหาทางป้องกันร่วมกัน
แล้วก็เป็นไปอย่างที่หวั่นเกรงกัน การระบาดสามารถข้ามพรมแดนได้ จาก
อิตาลีไปสู่เพื่อนบ้าน จนกระทั่งทำให้เพื่อนบ้านรอบทิศติดเชื้อจนเกินกว่า 1 แสนรายในฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และอังกฤษกำลังตามมา รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิต
สหรัฐอเมริกาได้เป็นตัวอย่างของความประมาทอย่างร้ายแรง วันที่ 7 เดือนมีนาคม มีผู้ติดเชื้อเพียง 129 รายทั่วประเทศ ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 5 แสนราย เสียชีวิตกว่า 2 หมื่นราย ตามคำประกาศของผู้นำประเทศที่ว่า “อเมริกาต้องมาก่อน”
เป็นเพราะความถือดี ดื้อรั้น ไม่ฟังใครของผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ผสมกับคำยกยอปอปั้นของพวกแวดล้อมจอมเลียแข้งเลียขา ไม่กล้าโต้แย้ง เพราะเห็นตัวอย่างหลายรายแล้วว่าถ้าขัดใจท่านผู้นำ อีกไม่ช้าต้องโดนเด้งจากตำแหน่ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อโรคระบาดและภูมิแพ้อย่างนายแพทย์แอนโธนี เฟาว์ชี่ มองย้อนกลับไปและรำพึงรำพันว่า ถ้ามีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมได้เร็วกว่าที่เป็นมา คนอเมริกันคงไม่เสียชีวิตมากอย่างทุกวันนี้ ทั้งไม่สวมหน้ากากอนามัยด้วย
จากการประเมินสถานการณ์ สหรัฐฯ ยังห่างไกลจากการหยุดระบาด แม้ทรัมป์ร่ำๆ จะเปิดประเทศให้ทุกอย่างเดินไปตามปกติ ก็ยังทำไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ว่าการแต่ละรัฐจะติดสินใจเปิดพรมแดนเพื่อการติดต่อเหมือนเดิม มีความแตกต่างกันด้วย
คนอเมริกันว่างงานกว่า 10 ล้านคน และตัวเลขยังเพิ่ม เศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่องพร้อมความเสียหายมหาศาลต่อภาคธุรกิจเอกชน ต้องมีเหตุถึงขั้นล้มละลายไม่น้อยเนื่องจากขาดรายได้นาน สายป่านไม่ยาว ต้องใช้เวลานานสำหรับการฟื้นตัว
เป็นสุดยอดของความหายนะเกิดขึ้นกับทุกระดับชั้นของสังคมทั่วโลก สร้างความเสมอภาคในความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ บริษัทยักษ์ใหญ่ประสบปัญหาแบบคาดไม่ถึง ขณะที่กิจกรรมการค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรมแทบหยุดนิ่ง
ไม่มีใครประเมินได้ว่าหายนะจากโคโรนาไวรัสจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ และจะมีคนล้มตายอีกมากน้อยแค่ไหน เพราะยังมีพื้นที่รอการระบาดอย่างเต็มที่ในชุมชนแออัดในเมืองขนาดใหญ่เช่นมุมไบในอินเดีย ในริโอ เดอ จาเนโร มะนิลา และจาการ์ตา ฯลฯ
มนุษย์น่าจะชนะในขั้นสุดท้าย แต่จะต้องยอมรับความเสียหายมหาศาล